“ช้าง ช้าง ช้าง”
เช้าที่สดใส ‘ดาวเหนือ’ เด็กชายวัย 9 ขวบ
โดนปลุกด้วยชื่อของสัตว์ชนิดหนึ่ง
คนปลุกก็ไม่ใช่ใครที่ไหน
‘ท้องฟ้า’ นั่นเอง เธอยิ้มกว้างให้น้องชาย
เห็นฟันหน้าครบทุกซี่
แม้ว่าเด็กชายจะรู้สึกหงุดหงิดบ้าง
ที่พี่สาวปลุกด้วยวิธีนี้
แต่พ่อกับแม่เคยบอกว่า
ถ้าพี่ท้องฟ้าตื่นเต้นหรือดีใจ
พี่จะพูดคำนั้นซ้ำ ๆ และยิ้มแก้มปริ
“ดาวเหนือ ท้องฟ้า เตรียมตัวไปสวนสัตว์กันลูก”
เสียงแม่ดังมาจากชั้นล่างของบ้าน
เตรียมตัว.... ทำยังไงนะ
ท้องฟ้าทำท่าทางเหมือนกำลังคิด
จนดาวเหนือแต่งตัวเสร็จแล้ว เธอก็ยังคิดไม่ออก
“เราต้องเตรียมตัวนะพี่ท้องฟ้า” เด็กชายกล่าว
“เตรียมตัวนะ เตรียมตัว”
เด็กหญิงทวนสิ่งที่น้องชายพูด
“เตรียมตัวไงพี่ท้องฟ้า
วันนี้เราจะไปเที่ยวสวนสัตว์กัน”
แม้ว่าดาวเหนือจะพูดซ้ำเป็นรอบที่สอง
แต่พี่สาว
ก็ยังไม่เข้าใจว่า
น้องชายอยากให้เธอ
ทำอะไร
เด็กชายรู้สึกสับสน
ไม่รู้จะจัดการสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าอย่างไรดี
ดาวเหนือเข้าใจว่า
พี่ท้องฟ้าเป็น เด็กบกพร่องทางสติปัญญา
ทำให้คิดช้า ทำช้า และไม่ค่อยเข้าใจคำพูดของเขา
แต่บางครั้งเขาก็ยังเด็กเกินกว่าช่วยพี่ได้ทุกเรื่อง
ดาวเหนือจึงตัดสินใจใช้ผู้ช่วยคนสำคัญ
นั่นคือ คุณแม่
ดาวเหนือจึงเดินไปหาแม่เพื่อขอความช่วยเหลือ
“ขอบใจมากที่มาบอกแม่นะ”
แม่ขอบใจดาวเหนือ
แล้วเดินเข้ามาลูบหัวลูกชายอย่างอ่อนโยน
จากนั้นทั้งคู่ก็เดินไปหาท้องฟ้า
“ท้องฟ้าจ๋า ไปลูก
ไปอาบน้ำ เดี๋ยวแม่พาไป”
แม่พูดพร้อมกับจูงมือลูกสาวไปห้องน้ำ
ดาวเหนือเข้าใจได้ทันทีว่า
ต้องพูดสั้น ๆ ง่าย ๆ ให้ชัดเจน พี่สาวจึงจะเข้าใจ
และไม่เป็นไรเลย
ถ้าดาวเหนือจะช่วยพี่ท้องฟ้าไม่ได้ทุกเรื่อง
เขาไม่ได้เผชิญเรื่องนี้คนเดียว
ยังมีพ่อกับแม่ที่พยายามช่วยท้องฟ้าเหมือนกัน
“อ้าว! ท้องฟ้า รองเท้าสลับข้างกันน่ะลูก”
เสียงพ่อเอ่ยทักขณะรอสมาชิกในครอบครัวขึ้นรถ
และท้องฟ้าเป็นคนสุดท้ายที่เดินออกมาจากประตูบ้าน
“สลับข้าง” เด็กหญิงทวนคำพูด
พร้อมกับก้มมองรองเท้าผ้าใบคู่ใจของตน
ครุ่นคิดว่า จะทำอย่างไรดี
“นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พี่ท้องฟ้าใส่สลับข้างกัน”
ดาวเหนือคิดขณะมองพี่สาว
ลงไปช่วยพี่ดีไหม
พี่จะโกรธไหมนะถ้าดาวเหนือไม่ช่วย
ทันใดนั้น
ผู้เป็นพ่อชี้ไปที่เท้าข้างขวาของท้องฟ้า
“จำได้ไหม พ่อเคยทำสัญลักษณ์ไว้ให้
ข้างนี้ต้องเป็นสัญลักษณ์อะไรลูก”
เด็กหญิงเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะตอบกลับไปว่า
“ข้างนี้... ดาวค่ะ”
“เก่งมาก แล้วข้างนี้ล่ะ”
พ่อถามอีกครั้งและชี้นิ้วไปที่เท้าข้างซ้ายของลูกสาว
“ข้างนี้ ข้างนี้ ข้างนี้ ก้อนเมฆ”
เมื่อท้องฟ้านึกออกก็ถอดรองเท้ามาใส่อีกครั้ง
ส่งยิ้มให้พ่อ แล้วขึ้นรถไปนั่งข้าง ๆ น้องชาย
พ่อมักจะใช้ภาพหรือสัญลักษณ์ช่วยให้พี่ท้องฟ้าจำได้ง่ายขึ้น
“ความจริงแล้ว พี่ท้องฟ้าก็ทำได้
แค่ต้องให้เวลาหน่อยเท่านั้นเอง
พี่จะค่อย ๆ ทำได้มากขึ้น” ดาวเหนือคิด
สวนสัตว์อยู่ไกล พ่อต้องขับรถนานกว่าจะถึง
ดาวเหนือกับท้องฟ้าดูวิวข้างนอกรถอย่างเพลิดเพลิน
ร้องเพลงบ้าง หลับบ้าง ตื่นบ้าง
จนไปถึงป้ายหน้าสวนสัตว์
เด็ก ๆ จึงรู้ว่ามาถึงจุดหมายที่รอคอยแล้ว
“พี่ท้องฟ้าดูสิ
ป้ายนั้นเขียนว่า The Zoo”
ผู้เป็นน้องชายเอ่ยขึ้น
ท้องฟ้าหันไปมองป้าย
ตามดาวเหนือด้วยท่าทางมึนงง
ไม่เข้าใจว่าน้องชายพูดถึงอะไร
“The Zoo ไงลูก T – h – e – z – o –o”
แม่อธิบายเสริม
“T – …” ท้องฟ้าจำได้เพียงไม่กี่ตัวอักษร
“T - h – e - z – o – o” ดาวเหนือช่วยเสริม
“ไหนลูกทั้งสองคนลองทวนพร้อมกันสิ”
พ่อชวนลูกสะกดคำ
ท้องฟ้าเงียบไป
เพราะลืมแล้วว่า เริ่มต้นด้วยตัวอักษรอะไร
“ไม่เป็นไรพี่ท้องฟ้า ช้า ๆ ก็ได้ครับ”
เด็กชายปลอบ
“T – h – e”
ทั้งคู่ค่อย ๆ ออกเสียงช้า ๆ
โดยมีดาวเหนือคอยออกเสียงนำให้ก่อน
“z – o – o” ออกเสียงอีกครั้งนะ
“The zoo แปลว่า สวนสัตว์” แม่เอ่ยขึ้น
“Zoo สวนสัตว์ สวนสัตว์ มาถึงแล้ว เย่ ๆ”
ท้องฟ้าตะโกนด้วยความดีใจ แล้วเข้าไปกอดดาวเหนือ
ดาวเหนือรู้ว่า การย้ำทวนบ่อยๆ
จะช่วยให้พี่ท้องฟ้าจำได้ดีขึ้น
“ทุกครั้งที่พี่ท้องฟ้าคิดออกจะเข้ามากอด
ผมดีใจนะ เพราะมันหมายถึงพี่ขอบคุณ
และเข้าใจบางอย่างมากขึ้น”
เด็กชายคิดในใจและกอดตอบพี่สาว
ร้อนจัง ร้อนจัง
แดดแรงมาก พ่อเหงื่อออก
แม่ ท้องฟ้าและดาวเหนือก็เหมือนกัน
แต่ไม่เป็นไร ทั้งสี่คนมีตัวช่วย
นั่นคือ หมวกใบโปรดนั่นเอง
“ใส่หมวกสิท้องฟ้า”
แม่พูดขึ้นพร้อมชี้ไปที่หมวก
บนหัวของตนเอง
“หมวก”
เด็กหญิงค้นในกระเป๋าเป้เท่าไหร่
ก็ไม่เจอหมวกใบโปรดของเธอ
เดาได้เลยว่า
ท้องฟ้าลืมตัวช่วยสำคัญอีกแล้ว
“พี่ท้องฟ้าลืมใช่ไหมครับ นี่ นี่ นี่
ผมเห็นพี่ลืมไว้บนโต๊ะเลยหยิบมาให้”
ดาวเหนือหยิบหมวกสีแดงของพี่สาวขึ้นมาจากกระเป๋า
จากนั้นก็สวมหมวกใบนั้นให้ท้องฟ้า
“เย่ ๆ”
เด็กหญิงกระโดดโลดเต้นอย่างดีใจ
“ขอบใจที่คิดถึงพี่ท้องฟ้านะลูก”
พ่อกับแม่เอ่ยชมลูกชายด้วยรอยยิ้ม
“ผมชอบทุกครั้งที่พ่อแม่ชมเชยและภูมิใจในตัวผม
รู้สึกเหมือนผมทำประโยชน์ให้คนรอบข้างได้”
ดาวเหนือกอดพ่อ แม่ และพี่สาว
ทั้งสี่คนเดินชมสวนสัตว์
ระหว่างทางพวกเขาพบกรงลิง
“ดูสิ ดูสิ นั่นลิงจ๋อจอมซน”
ดาวเหนือชี้ไปที่ลิงฝูงใหญ่ห้อยโหนไปมาในกรง
“ไหนเด็ก ๆ ลองนับสิ มีลิงทั้งหมดกี่ตัว”
พ่อเอ่ยถามลูกชายและลูกสาว
ดาวเหนือชี้นิ้วไปที่ลิงทีละตัว
“หนึ่ง สอง สาม...สิบเอ็ด มี สิบเอ็ด ตัวครับ”
ส่วนท้องฟ้าก็พยายามนับ แต่นับซ้ำไปซ้ำมา
“หนึ่ง...สอง...”
“หนึ่ง...สอง...สาม”
ทั้งสามคนเห็นท้องฟ้ายังจดจ่ออยู่กับการนับ
แต่ก็ยังตอบไม่ได้ว่ามีลิงกี่ตัว
จึงให้เวลานับ ไม่ได้เร่งเร้า
แต่เมื่อเห็นแล้วว่าพี่ท้องฟ้าอาจสับสน
นับวนไปมาเพราะลิงอยู่บนต้นไม้บ้าง
เกาะกรงบ้าง เดินไปมาบ้าง
แม่ก็เอ่ยขึ้น “เราจะช่วยกันนับนะ
เริ่มจากลิงที่เกาะต้นไม้ต้นนี้ก่อน หนึ่ง สอง สาม”
หลังจากนั้น แม่ก็ค่อยๆ พาท้องฟ้านับจำนวนลิง
เพิ่มทีละกลุ่ม ท้องฟ้าและดาวเหนือชี้ไปที่ลิงทีละตัว
แล้วนับพร้อมกัน“สิบเอ็ด”
สองพี่น้องตอบคำถามพร้อมกันอย่างมั่นใจ
“มีอีก มีอีกหนึ่งตัว”
ท้องฟ้าทำท่าตื่นเต้นแล้วพูดออกมา
“มีลูกลิงอีกหนึ่งตัว เกาะแม่ลิงอยู่ นั่นไง ๆ”
ท้องฟ้าพูดพร้อมชี้นิ้วไปที่ลูกลิง
“ถ้าอย่างงั้น รวมแล้วจะมีกี่ตัวกันนะ”
แม่ถามท้องฟ้า ท้องฟ้าหันมายิ้ม
แล้วเริ่มนับเลขออกเสียงใหม่อีกครั้ง
“หนึ่ง สอง สาม … สิบเอ็ด สิบสอง”
“มีลิงสิบสองตัวค่ะ”
ท้องฟ้าตอบอย่างภาคภูมิใจ
“ถูกต้องเลยลูก”
ทั้งสามคนตบมือชื่นชมท้องฟ้า
จากเดิมที่เด็กชายรู้สึกขัดใจที่พี่สาวทำอะไรช้า
หรือทำไม่ค่อยได้ ก็กลายเป็นรู้สึกดี
ที่ตัวเองได้ช่วยเหลือพี่สาว
แล้วทั้งสี่คนก็เดินต่อ
เพื่อชมสวนสัตว์ไปเรื่อย ๆ
ในบริเวณสวนสัตว์ มีการแจกลูกโป่งให้กับเด็กๆ
ท้องฟ้าได้ลูกโป่งด้วย
แต่ถือได้ไม่นานลูกโป่งก็หลุดมือ
ท้องฟ้าเริ่มมีน้ำตาซึมและเหมือนจะร้องไห้
เด็กชายที่เห็นเหตุการณ์นึกย้อนกลับไป
ตอนที่ตัวเองเสียใจก็มีพ่อ แม่
และพี่สาวคอยกอดและปลอบเขา
พอคิดดังนั้น
ดาวเหนือก็รีบเข้าไปกอดและปลอบพี่สาว
“ไม่เป็นไรนะพี่ท้องฟ้า
เดี๋ยวเย็นนี้เราไปทำลูกโป่งฟองสบู่เล่นที่บ้านก็ได้”
เด็กหญิงได้ยินน้องชายปลอบ
และรู้สึกว่าจะได้เล่นสิ่งที่ชอบก็ค่อย ๆ ดีขึ้น
“ขอบใจที่คอยดูแลพี่ท้องฟ้านะดาวเหนือ”
พ่อกับแม่ชมลูกชาย
ดาวเหนือยิ้ม
“ผมรู้ว่าพี่ท้องฟ้าต้องเสียใจมาก
ที่ลูกโป่งลอยหายไป พ่อกับแม่เคยบอกผมไว้
เวลาพี่เสียใจให้กอด
การกอดจะทำให้ใจเรารู้สึกอบอุ่น”
“งั้นมือของพ่อยังว่าง
เรามาเดินจับมือกันไหม”
พ่อถาม ทุกคนยิ้มและพยักหน้า
พ่อ แม่ ลูกเดินจับมือกัน
แล้วก็เดินต่อไป เดินต่อไป
เดินมาเรื่อย ๆ
จนกระทั่งได้ยินเสียงสัตว์ตัวหนึ่งร้อง
“แปร๋น”
แววตาของท้องฟ้าและดาวเหนือสดใสทันที
อยากรู้เหลือเกินเสียงนี้มาจากที่ไหน
“พี่ท้องฟ้า ทางนั้น ทางนั้น”
น้องชายชี้ไปที่ลานกลางสวนสัตว์
“เสียงจากสัตว์อะไรลูก”
พ่อถามลูกชายและลูกสาว
“ช้างครับ” ดาวเหนือตอบ
“ช้างมีงวง มีงาด้วยนะ”
ดาวเหนือบอกพี่สาว
แล้วก็ชี้ไปที่งวงและงาของช้าง
“ช้าง งวง งา” ท้องฟ้ากล่าวด้วยเสียงสดใส
“ใช่ ๆ มันร้องยังไงนะ”
แล้วดาวเหนือก็ทำท่าทางเลียนแบบช้าง
พร้อมกับร้องออกมาว่า
“แปร๋น แปร๋น แปร๋น แปร๋น”
ท้องฟ้าหัวเราะกับท่าทางของน้องชาย
พ่อกับแม่ก็เช่นกัน
“ผมชอบนะ เวลาพี่ท้องฟ้าหัวเราะ”
“ผมจำได้ ช้างเป็นสัตว์ตัวโปรดของพี่
ผมเคยชวนพี่ท้องฟ้าวาดรูปช้างและระบายสีด้วยกัน
เคยยืมหนังสือห้องสมุด
เกี่ยวกับช้างมาอ่านกับพี่ด้วย”
ดาวเหนือรู้ดีว่าพี่ท้องฟ้า
จะสนใจและเรียนรู้ได้ดีขึ้น
ถ้ามีสิ่งที่ท้องฟ้าชอบ
เย็นมากแล้ว ทั้งสี่คนจึงกลับบ้านกัน
แม้ว่าวันนี้จะเป็นวันวุ่นวายอยู่บ้าง
แต่ทั้งพ่อ แม่ ท้องฟ้า และดาวเหนือ
ก็รู้สึกสนุกและมีความสุขมาก
“ต่อให้ท้องฟ้าจะไม่เหมือนคนอื่น
ต่อให้บางครั้งดาวเหนือจะช่วยท้องฟ้าไม่ได้
ต่อให้หลาย ๆ อย่างอาจจะยาก
ไม่ง่ายเลยสักนิดสำหรับพ่อแม่
แต่ครอบครัวจะค่อย ๆ เผชิญหน้า
และผ่านไปด้วยกัน
เพราะสุดท้าย... เราทุกคน
ล้วนต้องการความรักความเข้าใจ”
“ช้าง ช้าง ช้าง”
เช้าที่สดใส ‘ดาวเหนือ’ เด็กชายวัย 9 ขวบ
โดนปลุกด้วยชื่อของสัตว์ชนิดหนึ่ง
คนปลุกก็ไม่ใช่ใครที่ไหน
‘ท้องฟ้า’ นั่นเอง เธอยิ้มกว้างให้น้องชาย
เห็นฟันหน้าครบทุกซี่
แม้ว่าเด็กชายจะรู้สึกหงุดหงิดบ้าง
ที่พี่สาวปลุกด้วยวิธีนี้
แต่พ่อกับแม่เคยบอกว่า
ถ้าพี่ท้องฟ้าตื่นเต้นหรือดีใจ
พี่จะพูดคำนั้นซ้ำ ๆ และยิ้มแก้มปริ
“ดาวเหนือ ท้องฟ้า เตรียมตัวไปสวนสัตว์กันลูก”
เสียงแม่ดังมาจากชั้นล่างของบ้าน
เตรียมตัว.... ทำยังไงนะ
ท้องฟ้าทำท่าทางเหมือนกำลังคิด
จนดาวเหนือแต่งตัวเสร็จแล้ว เธอก็ยังคิดไม่ออก
“เราต้องเตรียมตัวนะพี่ท้องฟ้า” เด็กชายกล่าว
“เตรียมตัวนะ เตรียมตัว”
เด็กหญิงทวนสิ่งที่น้องชายพูด
“เตรียมตัวไงพี่ท้องฟ้า
วันนี้เราจะไปเที่ยวสวนสัตว์กัน”
แม้ว่าดาวเหนือจะพูดซ้ำเป็นรอบที่สอง
แต่พี่สาว
ก็ยังไม่เข้าใจว่า
น้องชายอยากให้เธอ
ทำอะไร
เด็กชายรู้สึกสับสน
ไม่รู้จะจัดการสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าอย่างไรดี
ดาวเหนือเข้าใจว่า
พี่ท้องฟ้าเป็น เด็กบกพร่องทางสติปัญญา
ทำให้คิดช้า ทำช้า และไม่ค่อยเข้าใจคำพูดของเขา
แต่บางครั้งเขาก็ยังเด็กเกินกว่าช่วยพี่ได้ทุกเรื่อง
ดาวเหนือจึงตัดสินใจใช้ผู้ช่วยคนสำคัญ
นั่นคือ คุณแม่
ดาวเหนือจึงเดินไปหาแม่เพื่อขอความช่วยเหลือ
“ขอบใจมากที่มาบอกแม่นะ”
แม่ขอบใจดาวเหนือ
แล้วเดินเข้ามาลูบหัวลูกชายอย่างอ่อนโยน
จากนั้นทั้งคู่ก็เดินไปหาท้องฟ้า
“ท้องฟ้าจ๋า ไปลูก
ไปอาบน้ำ เดี๋ยวแม่พาไป”
แม่พูดพร้อมกับจูงมือลูกสาวไปห้องน้ำ
ดาวเหนือเข้าใจได้ทันทีว่า
ต้องพูดสั้น ๆ ง่าย ๆ ให้ชัดเจน พี่สาวจึงจะเข้าใจ
และไม่เป็นไรเลย
ถ้าดาวเหนือจะช่วยพี่ท้องฟ้าไม่ได้ทุกเรื่อง
เขาไม่ได้เผชิญเรื่องนี้คนเดียว
ยังมีพ่อกับแม่ที่พยายามช่วยท้องฟ้าเหมือนกัน
“อ้าว! ท้องฟ้า รองเท้าสลับข้างกันน่ะลูก”
เสียงพ่อเอ่ยทักขณะรอสมาชิกในครอบครัวขึ้นรถ
และท้องฟ้าเป็นคนสุดท้ายที่เดินออกมาจากประตูบ้าน
“สลับข้าง” เด็กหญิงทวนคำพูด
พร้อมกับก้มมองรองเท้าผ้าใบคู่ใจของตน
ครุ่นคิดว่า จะทำอย่างไรดี
“นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พี่ท้องฟ้าใส่สลับข้างกัน”
ดาวเหนือคิดขณะมองพี่สาว
ลงไปช่วยพี่ดีไหม
พี่จะโกรธไหมนะถ้าดาวเหนือไม่ช่วย
ทันใดนั้น
ผู้เป็นพ่อชี้ไปที่เท้าข้างขวาของท้องฟ้า
“จำได้ไหม พ่อเคยทำสัญลักษณ์ไว้ให้
ข้างนี้ต้องเป็นสัญลักษณ์อะไรลูก”
เด็กหญิงเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะตอบกลับไปว่า
“ข้างนี้... ดาวค่ะ”
“เก่งมาก แล้วข้างนี้ล่ะ”
พ่อถามอีกครั้งและชี้นิ้วไปที่เท้าข้างซ้ายของลูกสาว
“ข้างนี้ ข้างนี้ ข้างนี้ ก้อนเมฆ”
เมื่อท้องฟ้านึกออกก็ถอดรองเท้ามาใส่อีกครั้ง
ส่งยิ้มให้พ่อ แล้วขึ้นรถไปนั่งข้าง ๆ น้องชาย
พ่อมักจะใช้ภาพหรือสัญลักษณ์ช่วยให้พี่ท้องฟ้าจำได้ง่ายขึ้น
“ความจริงแล้ว พี่ท้องฟ้าก็ทำได้
แค่ต้องให้เวลาหน่อยเท่านั้นเอง
พี่จะค่อย ๆ ทำได้มากขึ้น” ดาวเหนือคิด
สวนสัตว์อยู่ไกล พ่อต้องขับรถนานกว่าจะถึง
ดาวเหนือกับท้องฟ้าดูวิวข้างนอกรถอย่างเพลิดเพลิน
ร้องเพลงบ้าง หลับบ้าง ตื่นบ้าง
จนไปถึงป้ายหน้าสวนสัตว์
เด็ก ๆ จึงรู้ว่ามาถึงจุดหมายที่รอคอยแล้ว
“พี่ท้องฟ้าดูสิ
ป้ายนั้นเขียนว่า The Zoo”
ผู้เป็นน้องชายเอ่ยขึ้น
ท้องฟ้าหันไปมองป้าย
ตามดาวเหนือด้วยท่าทางมึนงง
ไม่เข้าใจว่าน้องชายพูดถึงอะไร
“The Zoo ไงลูก T – h – e – z – o –o”
แม่อธิบายเสริม
“T – …” ท้องฟ้าจำได้เพียงไม่กี่ตัวอักษร
“T - h – e - z – o – o” ดาวเหนือช่วยเสริม
“ไหนลูกทั้งสองคนลองทวนพร้อมกันสิ”
พ่อชวนลูกสะกดคำ
ท้องฟ้าเงียบไป
เพราะลืมแล้วว่า เริ่มต้นด้วยตัวอักษรอะไร
“ไม่เป็นไรพี่ท้องฟ้า ช้า ๆ ก็ได้ครับ”
เด็กชายปลอบ
“T – h – e”
ทั้งคู่ค่อย ๆ ออกเสียงช้า ๆ
โดยมีดาวเหนือคอยออกเสียงนำให้ก่อน
“z – o – o” ออกเสียงอีกครั้งนะ
“The zoo แปลว่า สวนสัตว์” แม่เอ่ยขึ้น
“Zoo สวนสัตว์ สวนสัตว์ มาถึงแล้ว เย่ ๆ”
ท้องฟ้าตะโกนด้วยความดีใจ แล้วเข้าไปกอดดาวเหนือ
ดาวเหนือรู้ว่า การย้ำทวนบ่อยๆ
จะช่วยให้พี่ท้องฟ้าจำได้ดีขึ้น
“ทุกครั้งที่พี่ท้องฟ้าคิดออกจะเข้ามากอด
ผมดีใจนะ เพราะมันหมายถึงพี่ขอบคุณ
และเข้าใจบางอย่างมากขึ้น”
เด็กชายคิดในใจและกอดตอบพี่สาว
ร้อนจัง ร้อนจัง
แดดแรงมาก พ่อเหงื่อออก
แม่ ท้องฟ้าและดาวเหนือก็เหมือนกัน
แต่ไม่เป็นไร ทั้งสี่คนมีตัวช่วย
นั่นคือ หมวกใบโปรดนั่นเอง
“ใส่หมวกสิท้องฟ้า”
แม่พูดขึ้นพร้อมชี้ไปที่หมวก
บนหัวของตนเอง
“หมวก”
เด็กหญิงค้นในกระเป๋าเป้เท่าไหร่
ก็ไม่เจอหมวกใบโปรดของเธอ
เดาได้เลยว่า
ท้องฟ้าลืมตัวช่วยสำคัญอีกแล้ว
“พี่ท้องฟ้าลืมใช่ไหมครับ นี่ นี่ นี่
ผมเห็นพี่ลืมไว้บนโต๊ะเลยหยิบมาให้”
ดาวเหนือหยิบหมวกสีแดงของพี่สาวขึ้นมาจากกระเป๋า
จากนั้นก็สวมหมวกใบนั้นให้ท้องฟ้า
“เย่ ๆ”
เด็กหญิงกระโดดโลดเต้นอย่างดีใจ
“ขอบใจที่คิดถึงพี่ท้องฟ้านะลูก”
พ่อกับแม่เอ่ยชมลูกชายด้วยรอยยิ้ม
“ผมชอบทุกครั้งที่พ่อแม่ชมเชยและภูมิใจในตัวผม
รู้สึกเหมือนผมทำประโยชน์ให้คนรอบข้างได้”
ดาวเหนือกอดพ่อ แม่ และพี่สาว
ทั้งสี่คนเดินชมสวนสัตว์
ระหว่างทางพวกเขาพบกรงลิง
“ดูสิ ดูสิ นั่นลิงจ๋อจอมซน”
ดาวเหนือชี้ไปที่ลิงฝูงใหญ่ห้อยโหนไปมาในกรง
“ไหนเด็ก ๆ ลองนับสิ มีลิงทั้งหมดกี่ตัว”
พ่อเอ่ยถามลูกชายและลูกสาว
ดาวเหนือชี้นิ้วไปที่ลิงทีละตัว
“หนึ่ง สอง สาม...สิบเอ็ด มี สิบเอ็ด ตัวครับ”
ส่วนท้องฟ้าก็พยายามนับ แต่นับซ้ำไปซ้ำมา
“หนึ่ง...สอง...”
“หนึ่ง...สอง...สาม”
ทั้งสามคนเห็นท้องฟ้ายังจดจ่ออยู่กับการนับ
แต่ก็ยังตอบไม่ได้ว่ามีลิงกี่ตัว
จึงให้เวลานับ ไม่ได้เร่งเร้า
แต่เมื่อเห็นแล้วว่าพี่ท้องฟ้าอาจสับสน
นับวนไปมาเพราะลิงอยู่บนต้นไม้บ้าง
เกาะกรงบ้าง เดินไปมาบ้าง
แม่ก็เอ่ยขึ้น “เราจะช่วยกันนับนะ
เริ่มจากลิงที่เกาะต้นไม้ต้นนี้ก่อน หนึ่ง สอง สาม”
หลังจากนั้น แม่ก็ค่อยๆ พาท้องฟ้านับจำนวนลิง
เพิ่มทีละกลุ่ม ท้องฟ้าและดาวเหนือชี้ไปที่ลิงทีละตัว
แล้วนับพร้อมกัน“สิบเอ็ด”
สองพี่น้องตอบคำถามพร้อมกันอย่างมั่นใจ
“มีอีก มีอีกหนึ่งตัว”
ท้องฟ้าทำท่าตื่นเต้นแล้วพูดออกมา
“มีลูกลิงอีกหนึ่งตัว เกาะแม่ลิงอยู่ นั่นไง ๆ”
ท้องฟ้าพูดพร้อมชี้นิ้วไปที่ลูกลิง
“ถ้าอย่างงั้น รวมแล้วจะมีกี่ตัวกันนะ”
แม่ถามท้องฟ้า ท้องฟ้าหันมายิ้ม
แล้วเริ่มนับเลขออกเสียงใหม่อีกครั้ง
“หนึ่ง สอง สาม … สิบเอ็ด สิบสอง”
“มีลิงสิบสองตัวค่ะ”
ท้องฟ้าตอบอย่างภาคภูมิใจ
“ถูกต้องเลยลูก”
ทั้งสามคนตบมือชื่นชมท้องฟ้า
จากเดิมที่เด็กชายรู้สึกขัดใจที่พี่สาวทำอะไรช้า
หรือทำไม่ค่อยได้ ก็กลายเป็นรู้สึกดี
ที่ตัวเองได้ช่วยเหลือพี่สาว
แล้วทั้งสี่คนก็เดินต่อ
เพื่อชมสวนสัตว์ไปเรื่อย ๆ
ในบริเวณสวนสัตว์ มีการแจกลูกโป่งให้กับเด็กๆ
ท้องฟ้าได้ลูกโป่งด้วย
แต่ถือได้ไม่นานลูกโป่งก็หลุดมือ
ท้องฟ้าเริ่มมีน้ำตาซึมและเหมือนจะร้องไห้
เด็กชายที่เห็นเหตุการณ์นึกย้อนกลับไป
ตอนที่ตัวเองเสียใจก็มีพ่อ แม่
และพี่สาวคอยกอดและปลอบเขา
พอคิดดังนั้น
ดาวเหนือก็รีบเข้าไปกอดและปลอบพี่สาว
“ไม่เป็นไรนะพี่ท้องฟ้า
เดี๋ยวเย็นนี้เราไปทำลูกโป่งฟองสบู่เล่นที่บ้านก็ได้”
เด็กหญิงได้ยินน้องชายปลอบ
และรู้สึกว่าจะได้เล่นสิ่งที่ชอบก็ค่อย ๆ ดีขึ้น
“ขอบใจที่คอยดูแลพี่ท้องฟ้านะดาวเหนือ”
พ่อกับแม่ชมลูกชาย
ดาวเหนือยิ้ม
“ผมรู้ว่าพี่ท้องฟ้าต้องเสียใจมาก
ที่ลูกโป่งลอยหายไป พ่อกับแม่เคยบอกผมไว้
เวลาพี่เสียใจให้กอด
การกอดจะทำให้ใจเรารู้สึกอบอุ่น”
“งั้นมือของพ่อยังว่าง
เรามาเดินจับมือกันไหม”
พ่อถาม ทุกคนยิ้มและพยักหน้า
พ่อ แม่ ลูกเดินจับมือกัน
แล้วก็เดินต่อไป เดินต่อไป
เดินมาเรื่อย ๆ
จนกระทั่งได้ยินเสียงสัตว์ตัวหนึ่งร้อง
“แปร๋น”
แววตาของท้องฟ้าและดาวเหนือสดใสทันที
อยากรู้เหลือเกินเสียงนี้มาจากที่ไหน
“พี่ท้องฟ้า ทางนั้น ทางนั้น”
น้องชายชี้ไปที่ลานกลางสวนสัตว์
“เสียงจากสัตว์อะไรลูก”
พ่อถามลูกชายและลูกสาว
“ช้างครับ” ดาวเหนือตอบ
“ช้างมีงวง มีงาด้วยนะ”
ดาวเหนือบอกพี่สาว
แล้วก็ชี้ไปที่งวงและงาของช้าง
“ช้าง งวง งา” ท้องฟ้ากล่าวด้วยเสียงสดใส
“ใช่ ๆ มันร้องยังไงนะ”
แล้วดาวเหนือก็ทำท่าทางเลียนแบบช้าง
พร้อมกับร้องออกมาว่า
“แปร๋น แปร๋น แปร๋น แปร๋น”
ท้องฟ้าหัวเราะกับท่าทางของน้องชาย
พ่อกับแม่ก็เช่นกัน
“ผมชอบนะ เวลาพี่ท้องฟ้าหัวเราะ”
“ผมจำได้ ช้างเป็นสัตว์ตัวโปรดของพี่
ผมเคยชวนพี่ท้องฟ้าวาดรูปช้างและระบายสีด้วยกัน
เคยยืมหนังสือห้องสมุด
เกี่ยวกับช้างมาอ่านกับพี่ด้วย”
ดาวเหนือรู้ดีว่าพี่ท้องฟ้า
จะสนใจและเรียนรู้ได้ดีขึ้น
ถ้ามีสิ่งที่ท้องฟ้าชอบ
เย็นมากแล้ว ทั้งสี่คนจึงกลับบ้านกัน
แม้ว่าวันนี้จะเป็นวันวุ่นวายอยู่บ้าง
แต่ทั้งพ่อ แม่ ท้องฟ้า และดาวเหนือ
ก็รู้สึกสนุกและมีความสุขมาก
“ต่อให้ท้องฟ้าจะไม่เหมือนคนอื่น
ต่อให้บางครั้งดาวเหนือจะช่วยท้องฟ้าไม่ได้
ต่อให้หลาย ๆ อย่างอาจจะยาก
ไม่ง่ายเลยสักนิดสำหรับพ่อแม่
แต่ครอบครัวจะค่อย ๆ เผชิญหน้า
และผ่านไปด้วยกัน
เพราะสุดท้าย... เราทุกคน
ล้วนต้องการความรักความเข้าใจ”
สวัสดี ฉันชื่อ วี ตอนนี้ฉันตื่นเต้นมาก เพราะพรุ่งนี้ ฉัน
จะได้ไปค้างคืนที่บ้านของกอไผ่เพื่อนสนิทที่สุดของฉัน
เราจะทำงานประดิษฐ์วิชาวิทยาศาสตร์ด้วยกัน
“เอส พรุ่งนี้พี่ไม่อยู่ นอนกับพ่อแม่นะ”
นั่นเอสน้องชายสุดที่รักของฉันเอง
เอสเขาไม่ตอบฉันอีกตามเคย
ฉันก็รู้นะ ว่าการคุยกับเอส
ไม่เหมือนการคุยกับคนอื่น
พูดยาว ๆ รวดเดียวแบบนี้
เอสไม่เข้าใจหรอก
แต่ก็เผลอพูดยาวอยู่เรื่อย
“เฮ้อ”
ฉันต้องเดินไปจับแขนเอส
เพื่อให้เอสรู้สึกตัว
คืนนั้นก่อนนอน ฉันเขียนไดอารี่
ดีใจจังพรุ่งนี้จะได้ไปค้างบ้านกอไผ่เป็นครั้งแรกแล้ว
ฉันไม่ได้เขียนทุกวันหรอกนะ เขียนเฉพาะวันที่สำคัญจริง ๆ
คุณหมอเคยแนะนำให้ฉันเขียนบรรยายความรู้สึกต่าง ๆ
จะดีสุด ๆ หรือแย่สุด ๆ ก็ได้
โดยที่พ่อแม่รับปากฉันกับคุณหมอแล้วว่า
จะไม่เปิดอ่านเด็ดขาด!
ฉันตื่นเต้นที่จะได้ไปบ้านกอไผ่จนนอนไม่หลับ
เลยพลิกอ่านไดอารี่เล่น ๆ
ตอนที่แม่บอกว่า มีน้องอยู่ในท้อง ฉันดีใจมาก
รอจะได้เจอน้องไวๆ จะได้มาเป็นเพื่อนเล่นด้วยกัน
แต่ตอนนี้น้องเอส 3 ขวบแล้ว
น้องยังไม่พูดกับฉันเลย พ่อกับแม่ก็ดูเครียดๆ
คุณหมอบอกว่าเอสเป็นออทิสติก
ฉันก็ไม่ค่อยเข้าใจหรอก
พ่อกับแม่บอกว่า
เอสจะไม่เหมือนกับเด็กคนอื่นนะ
พวกเราต้องช่วยกันดูแลเอสเป็นพิเศษ
จะพิเศษขนาดไหนกันนะ
ฉันไม่รู้ว่าเอสอยากได้อะไร
เพราะเอสไม่พูด ไม่ชี้
พอหยิบมาให้ไม่ถูก เอสก็จะจับโยนทิ้ง
เหมือนทุกคนต้องเล่นเกมเดาใจเอสตลอดเวลา
บางทีก็สนุกดี แต่บางทีก็น่าหงุดหงิด
เอสไม่รู้ว่าอะไรที่ควรหรือไม่ควรเข้าไปยุ่ง
วันนี้เอสเกือบโดนน้ำร่้อนลวกแล้ว
ดีนะที่พ่อเห็นก่อน
ถ้าไม่มีพ่อ แม่ และฉัน
เอสจะทำอย่างไร
วันนี้เอสนั่งจ้องพัดลมทั้งวันเลย
บางทีมันก็น่ากลัวนะ
เอสสนใจเรื่องอวกาศมาก
นั่งอ่านหนังสือเกี่ยวกับดาวได้เป็นชั่วโมงเลย
แม่บอกว่าอนาคต
เอสอาจจะเก่งเรื่องอวกาศมาก ๆ
พ่อกับแม่ซื้อหนังสือกับของเล่น
เกี่ยวกับอวกาศมาให้จนเต็มห้อง
แต่ไม่มีของที่ฉันชอบเลย
วันนี้ฉันเผลอทำ
กระติกน้ำจรวดของเอสแตก
ฉันขอโทษแล้ว
แต่เอสก็ยังโกรธมาก
จนมากัดแขนฉัน
เอสกลายร่างเป็นปีศาจไปแล้ว!
เอสทำตุ๊กตาตัวโปรดของฉันพัง
แต่เอสไม่ขอโทษ
แถมไม่สนใจ
ความรู้สึกของฉันเลยสักนิด
คอยดูเถอะ!
ฉันก็จะไม่สนใจเอสแล้วเหมือนกัน!
เช้านี้วุ่นวายมาก
คุณพ่อต้องเปลี่ยนเส้นทาง
เพราะถนนปิดปรับปรุง
เอสร้องไห้โวยวาย
เพราะไม่ใช่เส้นทางเดิม
ฉันรู้ว่าเอสไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง
แต่มันช่วยไม่ได้นี่นา ทำไมเข้าใจยากจัง
ตอนกลับบ้าน
คุณลุงคนขับรถโรงเรียนตัดผมทรงใหม่
เอสจำไม่ได้ จึงร้องไห้นานมาก
ทำอย่างไรก็ไม่ยอมขึ้นรถ
คนอื่นดูไม่ค่อยพอใจ
ที่ต้องกลับบ้านช้า
เฮ้อ ฉันทั้งเหนื่อย ทั้งอาย
ไม่อยากอยู่ตรงนี้เลย
พ่อแม่ต้องทำงาน และดูแลเอส
ไม่ได้มาเล่นกับฉันเลย
เหงาจัง
เริ่มง่วงแล้ว
ฉันปิดสมุดไดอารี่
ปิดไฟ แล้วจึงเข้านอน
เช้านี้ก่อนไปบ้านกอไผ่
ฉันช่วยแม่จัดโต๊ะอาหาร
“แม่คะ จานสีน้ำเงินของเอสอยู่ไหนคะ”
ฉันหาชุดจานชามประจำตัวของเอสไม่เจอ
“อ๋อ แม่ล้างอยู่จ้ะ” แม่ตอบ
“จานอะพอลโล! อยู่ไหน อยู่ไหน อยู่ไหน”
เอสถามไม่หยุดและทุบโต๊ะเสียงดัง
“รอเดี๋ยวนะจ๊ะ แป๊บเดียวจ้ะ”
แม่รีบล้างจาน แล้วเอาไปให้เอสทันที เพื่อให้เอสสงบลง
“วีล้างจานที่เหลือให้แม่ทีนะลูก แม่ต้องดูน้อง”
“ค่ะ” ฉันก็โดนแบบนี้ทุกทีแหละ
ฉันไหว้แม่ “วีไปแล้วนะคะแม่”
และหันไปบอกเอส “พี่ไปแล้วนะเอส”
แล้วออกมาหาพ่อที่อยู่หน้าบ้าน
“พ่อ พ่อคะ… พ่อ”
ฉันเรียกอยู่นานกว่าพ่อจะหันมา
“หนูไปบ้านกอไผ่แล้วนะคะ”
“ไปดีมาดีนะลูก”
พ่อตอบโดยไม่ละสายตามามองฉันเลย
เพราะมัวแต่คุยกับคุณครูสอนพัฒนาการของเอส
‘เอสอีกแล้ว เอส เอส เอส อะไร ๆ ก็เอส’
เมื่อไปถึงบ้านของกอไผ่
ฉันก็เห็นว่า นอกจากกอไผ่แล้ว
ยังมีคนอื่นยืนรอฉันอยู่หน้าบ้านด้วย
คุณพ่อคุณแม่ของกอไผ่
แล้วก็น้องชายชื่อใบสน
ทุกคนใจดีมาก
ฉันคิดว่าวันนี้จะต้องสนุกแน่ ๆ
ได้มีเวลาส่วนตัวอยู่กับกอไผ่สักที
เพราะปกติที่โรงเรียนเอสจะคอยมากวนอยู่เรื่อย
ฉันกับกอไผ่ขึ้นไปทำงานประดิษฐ์ด้วยกันบนห้อง
“ว้าว ห้องเธอสวยจัง”
ฉันตื่นตาตื่นใจกับห้องของกอไผ่มาก
“ใช่สิ ฉันแต่งห้องเองเลยนะ
สวยใช่ไหมละ” กอไผ่ถาม
“สวยมากเลย ห้องฉันมีแต่ของที่เอสชอบ” ฉันได้แต่ยิ้มแหย
“จริงสิ ฉันลืมไป…” กอไผ่เสียงอ่อย
“เรามาทำงานกันเถอะ!”
ฉันรีบเปลี่ยนเรื่อง
“อื้อ!” กอไผ่พยักหน้ารับ
“โอ้โห สวยจัง!”
กอไผ่ชมฝีมือการต่อโมเดลของฉัน
“พ่อกับแม่เคยซื้อโมเดลแบบนี้ มาตั้งไว้บนหัวเตียง
ฉันเห็นจนจำได้แม่นเลย…เพราะว่าเอสชอบ”
“ยอดเลย แบบนี้งานกลุ่มเราต้องสวยที่สุดในห้องแน่ ๆ ”
กอไผ่ยิ้มดีใจ ฉันเองก็รู้สึกภูมิใจไปด้วย
แต่ทันใดนั้น!
ตึงงง!
ประตูเปิดกระแทกผนังเสียงดังลั่น
เสียงตะโกนของใบสนตามมาติด ๆ
“ฮ่าาา! ก็อตซิลล่ามาแล้ว!! จะพังทุกอย่างให้ราบคาบเลย!!”
ใบสนถือตุ๊กตาก็อตซิลล่า พุ่งใส่โมเดลระบบสุริยะบนโต๊ะ
โครมมม!
“ใบสน!! เล่นแบบนี้อีกแล้วนะ!
งานพี่พังหมดแล้ว! ออกไปเลย!”
กอไผ่โกรธมาก ตะเบ็งเสียงใส่ใบสน
“แบร่~ แบร่~ แบร่~”
ใบสนส่งเสียงล้อเลียนแล้วออกจากห้องไป
ปัง!
กอไผ่ปิดประตูไล่หลังอย่างแรง
“ใบสนนี่พูดไม่รู้เรื่องเลย ก็บอกแล้วนะ ว่าวันนี้จะทำงานกับเพื่อน
ดูสิ! ต้องทำใหม่หมดเลย” กอไผ่ดูหงุดหงิดมาก
“ขอโทษนะวี” กอไผ่ขอโทษฉันด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวเราทำกันใหม่ก็ได้”
ฉันไม่ถือสาใบสนหรอก
“เธอไม่โกรธเลยเหรอ” กอไผ่สงสัย
“ก็โกรธนะ แต่ฉันชินแล้ว
เพราะเอสก็ทำของฉันพังบ่อยเหมือนกัน
แต่ฉันรู้ รู้ว่าเอสไม่ได้ตั้งใจหรอกนะ”
ฉันตอบ
ฉันกับกอไผ่ช่วยกันเก็บชิ้นส่วนโมเดล
ที่ตกกระจายตามพื้น แล้วเริ่มทำกันใหม่ตั้งแต่ต้น
เราทำไป พูดคุยกันไป
จนในที่สุดก็เสร็จ
“เฮ้อ เสร็จสักที!”
กอไผ่ถอนหายใจยาว
ฉันเห็นผลงานแล้วก็อดคิดถึงเอสไม่ได้
‘ถ้าเอสได้มาเห็นต้องชอบมากแน่ ๆ’
“ถ้าใบสนไม่มาพัง คงเสร็จไปนานแล้ว”
กอไผ่ยังหงุดหงิดใบสนไม่หาย
“ไม่เป็นไรนะ อย่างน้อยมันก็เสร็จแล้ว สวยด้วย”
ฉันพยายามพูดปลอบใจ
“เธอพูดเหมือนแม่ฉันเลย เวลาใบสนซนมาก ๆ
แม่ก็ช่วยพูดให้แบบนี้ตลอด” กอไผ่ตอบด้วยน้ำเสียงน้อยใจ
“พ่อแม่เธอก็โอ๋แต่น้องเหมือนกันเหรอ”
ฉันประหลาดใจมาก
ไม่คิดว่ากอไผ่ก็เจอปัญหาเดียวกับฉัน
“ใช่…ถึงจะไม่ทุกครั้งก็เถอะ” กอไผ่ตอบ
“จริงสินะ…ไม่ทุกครั้ง”
ฉันฉุกคิดเมื่อได้ฟังคำตอบของกอไผ่
สองพี่น้อง กอไผ่และใบสน
เดี๋ยวก็ดีกัน เดี๋ยวก็ทะเลาะกัน
จนค่ำจึงค่อยแยกย้ายกันไปนอน
ฉันนอนห้องเดียวกับกอไผ่
ตอนนี้กอไผ่กำลังอ่านหนังสือ
ส่วนฉันกำลังจะเขียนไดอารี่
อยากบันทึกอะไรเก็บไว้สักหน่อยน่ะ
พอไม่ได้นอนกับเอส
ฉันกลับรู้สึกแปลก ๆ
ฉันนอนไม่หลับ
จนต้องลุกขึ้นมาเปิดไดอารี่อ่านอีกครั้ง
เผื่อว่า ‘ความรู้สึกแปลก ๆ’
ในใจจะหายไป…
ฉันแอบมองเอสตอนหลับ
น้องเหมือนเจ้าชายตัวน้อย ๆ เลย
จมูกเล็กกระจิริด
ขนตายาวเหมือนตุ๊กตา
แถมแก้มยังแดง
อย่างกับมะเขือเทศสุก
น่ารักจริง ๆ
ถึงน้องจะยังไม่เล่นกับฉันสักที
แต่ไม่เป็นไรหรอกนะ ฉันว่าฉันรอได้…”
ที่เคยบอกว่า
จะไม่สนใจเอสอีกแล้ว
ฉันทำไม่ได้หรอก
วันนี้มีเด็กที่โรงเรียน
มาล้อท่าทางของเอส
ฉันไม่ชอบเลย
ฉันว่าพวกนั้นกลับไปด้วย
แล้วก็ไปบอกคุณครู
ไม่ต้องห่วงนะเอส
พี่จะปกป้องน้องเอง!
ที่โรงเรียนฉันบ่นเรื่องเอสให้กอไผ่ฟัง
กอไผ่รับฟังและเล่าให้ฉันฟังว่า
น้องของเธอก็ซนเหมือนกัน
ฉันคิดว่ากอไผ่คงแค่อยากปลอบใจฉัน
เธอเป็นเพื่อนที่ดีมาก ๆ เลย
ขอบใจนะ
เอสเรียนพละทุกวันพุธ
ต้องใส่รองเท้าสีขาว
แต่พ่อหยิบรองเท้านักเรียน
สีดำมาวางไว้
เอสโวยวายทันที
วันพุธสีขาว! ไม่ใช่สีดำ!
วันพุธสีขาว!
สีขาว! สีขาว!
พ่อรีบหยิบมาเปลี่ยนด้วยความตกใจ
เห็นแล้วก็ขำท่าทางของพ่อเหมือนกัน
ถึงเอสจะเอะอะเสียงดังจนฉันหนวกหู
แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า
เอสความจำดีมาก
วันนี้เอสเกือบมีเรื่อง
ที่สนามเด็กเล่นแล้ว
เพราะไม่ยอมลุกออกจากม้าโยก
เด็กคนอื่นไม่มีใครเข้าใจ
ว่าทำไมเอสไม่ยอมแบ่งกันเล่น
แต่ฉันเข้าใจนะ
เวลาเอสชอบอะไร
ก็จะเล่นอยู่แบบนั้น
ช่วงนี้ทุกคนเหนื่อยน้อยลง
เพราะพ่อกับแม่ให้ครูสอนพัฒนาการ
มาดูแลเอสในวันเสาร์อาทิตย์
พวกเราต้องเรียนรู้ไปพร้อม ๆ กัน
‘หวังว่าทุกอย่างต่อจากนี้จะดีขึ้นนะ’
วันนี้เอสน่ารักเป็นพิเศษ
คงเป็นเพราะฉันซื้อตุ๊กตาดาวเสาร์มาให้
บางทีเอสก็เหมือนเด็กทั่วไป
พอได้ของที่ชอบก็ทำตัวดีขึ้นมาเลย
วันนี้เอสเอาแต่พูดซ้ำ ๆ เหมือนเดิม
แต่ฉันไม่หงุดหงิดหรอกนะ
เพราะคำที่เอสพูดซ้ำ ๆ
คือคำว่า
ฉันก็รักเอสเหมือนกัน
:)
คืนนี้เราดูการ์ตูน
มนุษย์ต่างดาวตะลุยอวกาศตอนเดิม
วนเป็นรอบที่ร้อยแล้วมั้ง
เอสชอบดูอะไรซ้ำ ๆ
ยิ่งเกี่ยวกับอวกาศยิ่งชอบ
ฉันเบื่อจัง
แต่คงทำอะไรไม่ได้
เพราะเราสัญญากันไว้แล้ว
ว่าจะผลัดกันดู
ฉันแอบมาร้องไห้คนเดียว
แต่พ่อกับแม่มาเห็น
จึงเข้ามากอดฉันแน่นมาก
แล้วถามฉันว่า
เกิดอะไรขึ้นไม่สบายหรือเปล่า
ฉันไม่ได้เป็นอะไรหรอกนะ
แค่น้อยใจ ว่าอะไร ๆ ก็เอส
แต่ฉันไม่ได้ตอบ
เพราะฉันรู้ว่าพ่อแม่ก็รักฉันอยากสนใจฉัน
พ่อกับแม่เหนื่อยที่ต้องดูแลเอสเป็นพิเศษ
แค่พ่อกับแม่มากอดฉัน ฉันก็รู้สึกดีขึ้นแล้ว
ฉัน พ่อและแม่
ฝึกให้เอสติดกระดุมเสื้อนักเรียนเอง
เอสตั้งใจมาก
ไม่โมโห หรืองอแงเลยสักนิด
ในที่สุดเอสก็ติดกระดุมได้หนึ่งเม็ด
พวกเราภูมิใจจัง
ส่วนกระดุมเม็ดที่เหลือ
ฉันเป็นคนช่วยติดให้
วันนี้พวกเราพากันไปปั่นจักรยาน
ในสวนสาธารณะใกล้บ้าน
เอสชอบปั่นจักรยานมาก หัวเราะเอิ๊กอ๊าก
ทุกคนเห็นแล้วก็หัวเราะตาม
ไม่บ่อยหรอกนะที่เอสจะเป็นแบบนี้
ฉันว่าเอสเก่งขึ้นเยอะเลย
เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้แล้ว
ฉันคิดว่าเอสก็มีมุมน่ารักเยอะนะ
แถมยังดีขึ้นทุกวัน
พ่อกับแม่ก็ดูสบายใจขึ้นมาก
เมื่อคืนฉันเผลอหลับไปคาไดอารี่ตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้
เช้านี้ฉันบอกลากอไผ่ แล้วเดินทางกลับบ้าน
แต่ทำไมถึงรู้สึกว่าบ้านอยู่ไกลจังนะ
ทั้ง ๆ ที่อยู่แค่ซอยถัดไปนี้เอง
อยากกลับไปหาทุกคนแล้ว…
เมื่อถึงบ้าน เปิดประตูเข้าไป
ก็เห็นเอสกำลังถามแม่ซ้ำ ๆ ว่า
“พี่วีอยู่ไหน อยู่ไหน อยู่ไหน”
ฉันรู้ว่าที่เอสถามแม่ซ้ำ ๆ แบบนี้
เป็นเพราะว่า เอสกำลังคิดถึงฉันมาก
เหมือนอย่างที่ฉันก็คิดถึงเอสมากเหมือนกัน
ฉันจึงรีบเข้าไปจับตัวเอสให้หันมาสบตา
ฉันกอดเอสเบา ๆ
แต่เอสกอดฉันแน่นมาก
“พี่วีกลับมาแล้วนะ” ฉันพูด
“พี่วีกลับมาแล้ว กลับมาแล้ว กลับแล้ว”
เอสพูดซ้ำไปมาอยู่อย่างนั้น
ฉันรู้ว่าน้องต้องดีใจมากแน่ ๆ ที่ฉันกลับมา
“ใช่ พี่วีกลับมาแล้ว”
พ่อพูดกับเอส แล้วเดินเข้ามาโอบฉัน
“เมื่อวานน้องเอาแต่ถาม พี่วีไม่อยู่บ้านเหรอ
สงสัยจะคิดถึงวี” พ่อบอก
“วีกินข้าวมาหรือยัง หิวไหม”
แม่ถามฉัน แถมเตรียมอาหารที่ชอบไว้เต็มโต๊ะเลย
ฉันรู้สึกดีจัง
ระหว่างกินข้าว ฉันเล่าเรื่องตอนไปบ้านกอไผ่ให้ฟัง
แล้วอวดรูปถ่ายโมเดลระบบสุริยะให้ทุกคนดูด้วย
แม่ชมว่าฉันใจเย็น และรับผิดชอบงานได้ดีมาก
“ลูกพ่อเก่งขนาดนี้แล้วเหรอเนี่ย” พ่อชมฉันพร้อมยกนิ้วโป้งให้
“ดาวเสาร์ ดาวเสาร์ พี่วีเก่ง พี่วีเก่ง” เอสส่งเสียงเมื่อเห็นรูป
ในมือถือของฉัน พร้อมยกนิ้วโป้งตามพ่อ
“เพราะมีเอสให้ดูแลไง พี่วีถึงเก่งได้ขนาดนี้”
ฉันทำทีเท้าเอว แต่เก๊กได้แป๊บเดียว
ก็หลุดหัวเราะออกมา จนพ่อกับแม่หัวเราะตาม
วันนี้ดีที่สุดเลย อาหารก็อร่อย
มีแต่ของโปรดฉันทั้งนั้น ฉันรู้สึกเป็นคนสำคัญ
ถึงเอสจะไม่พูดคำว่าคิดถึง แต่ฉันก็รู้ว่าเอสก็คิดถึงฉันมาก
และพ่อแม่ยังชมว่าฉันนั้น ‘เก่งสุดยอด’
ฉันไม่รู้สึกน้อยใจแล้วล่ะ