“พี่ท้องฟ้า ถึงเวลาตื่นแล้ววว”
เสียงสดใสของ “ดาวเหนือ”
เด็กชายวัย 9 ขวบร้องเรียกพี่สาว
ให้ตื่นจากความฝัน
เด็กหญิงตัวน้อยค่อย ๆ ลืมตา
มองน้องชายก่อนจะพูดว่า
“โรงเรียน ไปโรงเรียน...”
นาฬิกาบอกเวลา 07:20 น.
ดาวเหนือพร้อมไปโรงเรียน แต่ท้องฟ้ายังกินข้าวอยู่
เขานั่งรอพี่สาวด้วยความเบื่อหน่าย
ติ๊ก ติ๊ก ติ๊ก
เสียงนาฬิกาเดินผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ในความคิดของดาวเหนือ
“พี่ท้องฟ้าเป็นแบบนี้ทุกเช้าเลยครับพ่อ
ทำอะไรก็ช้า ผมอยากไปโรงเรียนเร็ว ๆ
จะได้เล่นกับเพื่อน” ดาวเหนือบ่นให้พ่อฟัง
เด็กชายรู้สึกหงุดหงิด เขาเดินไปเดินมา
จนพ่อต้องเข้ามาปลอบ
“พ่อรู้ว่า ลูกกำลังไม่พอใจ แต่ดูสิ
พี่ท้องฟ้าเหลือข้าวในจานไม่กี่คำเอง”
ดาวเหนือหันไปมองพี่สาวด้วยสีหน้าไม่พอใจ
ก่อนจะกลับมามองหน้าพ่อ
“เรามานับ 1 – 10
ลูกจะได้ใจเย็นลงด้วย”
พ่อกล่าวพร้อมกับลูบหลังดาวเหนือเบา ๆ
1 2 3 4 5 …
“ดีมากลูก เริ่มควบคุมอารมณ์
ตัวเองได้แล้วใช่ไหม”
พ่อถามลูกชาย
ดาวเหนือพยักหน้าและหันไปมองพี่สาว
6 7 8 9 10
“เห็นไหม ท้องฟ้ากินข้าวเสร็จแล้ว”
พ่อพูดเสริม
เมื่อเห็นดังนั้นดาวเหนือก็อารมณ์ดีขึ้น
เด็กชายรู้สึกโล่งใจ เขาเข้าใจแล้วว่า
ไม่จำเป็นต้องโมโห พี่ท้องฟ้าก็กินข้าวเสร็จเหมือนกัน
หลายครั้งที่เขาเผลอโมโหพี่สาวเมื่อไม่ได้ดั่งใจ
ตั้งแต่นี้ไปเขาจะพยายามใจเย็น
กับพี่ท้องฟ้าให้มากขึ้น
ถึงโรงเรียนแล้ว
เด็กชายนึกขึ้นได้ว่ามีเรื่องที่ต้องชวนพี่สาว
“พี่ครับ มีร้านไอศกรีมเปิดใหม่หลังโรงเรียน
เย็นนี้ไปกินกันไหม” ดาวเหนือถามพี่สาว
“ไปสิ ไปสิ” ท้องฟ้าตอบด้วยความดีใจ
“งั้นวันนี้หลังเลิกเรียนไปเจอกันที่ร้านเลยนะ”
เด็กหญิงพยักหน้ารับคำ ก่อนโบกมือลาน้องชาย
ที่วิ่งขึ้นอาคารเรียน
ถึงเวลานัดแล้ว
5 นาทีผ่านไป
10 นาทีผ่านไป
20 นาทีผ่านไป... ท้องฟ้าก็ยังไม่มา
“พี่ลืมแน่ ๆ” ดาวเหนือคิดในใจขณะแกว่งขาอยู่บนม้านั่ง
สุดท้ายดาวเหนือก็ออกตามหาและพบว่า
ท้องฟ้านั่งร้องไห้อยู่ข้าง ๆ คุณครู
ประจำชั้นในห้องเรียน พร้อมกับพึมพำว่า
“ไม่เจอน้อง น้องกลับบ้านไปแล้ว”
ดาวเหนือวิ่งเข้าไปหาพี่สาวพร้อมถอนหายใจ
“เฮ้อ! อยู่นี่เอง เรานัดกันที่ร้านไอศกรีมไง
ลืมอีกแล้วใช่ไหม ผมรอพี่จนร้านปิดแล้วนะ”
ดาวเหนือกล่าว
ท้องฟ้าพยักหน้า พร้อมกับตอบดาวเหนือ
“พี่ไปแล้ว หาไม่เจอ”
นั่นทำให้เด็กชายแสดงท่าทาง
เบื่อหน่ายมากขึ้นไปอีก
เขาไม่เข้าใจเลย
ว่าทำไมพี่สาวถึงเป็นแบบนี้
ครูเห็นท่าทางของดาวเหนือ
จึงชวนเด็กชายคุยด้วย
“ครูเจอท้องฟ้าที่หน้าโรงเรียน
ดาวเหนือไม่เจอพี่สาวเหรอคะ”
เด็กชายส่ายหน้า
“ไม่เจอครับ เรานัดกันที่ร้านไอศกรีม
หลังโรงเรียน ผมรอตั้งนาน”
“พี่...” ท้องฟ้าพยายามนึกหาเหตุผล
แต่นึกยังไงก็นึกไม่ออก
“ท้องฟ้าน่าจะจำได้นะว่านัดกัน
แต่ไปผิดสถานที่” ครูอธิบาย
“ผมบอกพี่แล้วนะว่าหลังโรงเรียน”
เด็กชายขมวดคิ้วแสดงสีหน้าไม่พอใจ
ครูเห็นสถานการณ์เริ่มไม่ดีจึงชวนดาวเหนือคุย
“ดาวเหนือเคยลืมอะไรซ้ำ ๆ ไหม
ลืมในสิ่งที่คนอื่นเตือนบ่อย ๆ”
ดาวเหนือเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะตอบว่า
“ผมชอบลืมถอดถุงเท้าลงในตะกร้าซักผ้าครับ
แม่เตือนทุกเย็นเลย แต่ผมก็ยังลืม”
“ท้องฟ้าเองก็เหมือนกัน ถึงจะย้ำแล้วก็ยังลืมได้
งั้นเราลองหาวิธีอื่นนอกจากนี้ดูไหม”
ครูชวนเด็กชายคิด
“เขียนบอกพี่ ดีไหมครับ” ดาวเหนือเสนอ
“ก็ดีนะ แต่ถ้าพี่ไม่รู้สถานที่ล่ะ” ครูเสริม
“งั้นวาดภาพด้วยอาจจะช่วยได้ครับ”
“ดีเลย เขียนแล้วมีภาพวาดด้วยก็จะชัดเจนขึ้น
น่าจะช่วยท้องฟ้าได้นะ” ครูกล่าวพร้อมกับรอยยิ้ม
ได้ยินดังนั้นดาวเหนือจึงนำสมุดภาพวาด
ออกมาจากกระเป๋าแล้ววาดแผนผังคร่าว ๆ
ของโรงเรียน จากนั้นจึงยื่นให้กับพี่สาว
ครูเห็นสถานการณ์เริ่มไม่ดีจึงชวนดาวเหนือคุย
“ดาวเหนือเคยลืมอะไรซ้ำ ๆ ไหม
ลืมในสิ่งที่คนอื่นเตือนบ่อย ๆ”
ตอนเย็นเมื่อทั้งสองกลับถึงบ้าน
ดาวเหนือเปิดกระเป๋าแล้วหยิบการบ้านขึ้นมาทำ
วันนี้การบ้านวิชาศิลปะให้วาดรูปสัตว์ที่ชอบ
ส่วนท้องฟ้าก็ทำการบ้านของตัวเอง
โดยมีพ่อประกบอยู่ข้าง ๆ
เวลาผ่านไป
ดาวเหนือทำการบ้านเสร็จแล้วส่วนหนึ่ง
จึงลุกไปอาบน้ำ พ่อไปช่วยแม่ทำอาหารเย็น
ส่วนท้องฟ้านั่งเล่นในห้องรอดาวเหนือ
“อะไรเนี่ย!”
เสียงดาวเหนือดังลั่นด้วยความโกรธ
หลังจากกลับมาเห็นภาพถูกระบายสีโดยฝีมือพี่สาว
พ่อกับแม่ได้ยินเสียงดาวเหนือโวยวาย จึงเดินมาดู
ดาวเหนือฟ้องพ่อกับแม่ว่า
“พี่ท้องฟ้าระบายสีในใบงานเลอะเทอะ
ผมตั้งใจทำตั้งนาน พี่ท้องฟ้ามาทำให้งานไม่สวยเลย”
“ทำไมพี่ท้องฟ้าทำแบบนี้” ดาวเหนือถามเสียงดัง
ท้องฟ้ายังรู้สึกไม่เข้าใจว่าตนเองทำอะไรผิด
ที่ทำไปเพราะเห็นว่าดาวเหนือยังไม่ได้ลงสีในภาพวาด
จึงอยากช่วยน้อง เด็กหญิงได้แต่อ้ำ ๆ อึ้ง ๆ
นึกคำพูดไม่ออกว่าจะอธิบายอย่างไรดี
แต่รับรู้ได้ว่าน้องชายกำลังไม่พอใจ
และเธอก็เสียใจ
แม่จึงจูงมือท้องฟ้าไปที่ห้องนอนของตัวเอง
ส่วนพ่อก็เดินมานั่งข้าง ๆ ดาวเหนือ
“ใจเย็น ๆ ก่อนนะลูก”
พ่อพยายามปลอบลูกชายพร้อมกับตบไหล่เบา ๆ
“ดาวเหนือรู้สึกไม่พอใจที่พี่ท้องฟ้ามาระบายสี
ในงานของลูกใช่ไหม”
“ผมไม่เข้าใจพี่เลย พี่ไม่รู้เหรอ
ว่านั่นเป็นการบ้านของผม” เด็กชายฟ้องพ่อ
“พ่อเข้าใจดาวเหนือนะ
มันไม่ผิดเลยที่ดาวเหนือจะรู้สึกไม่พอใจ”
ดาวเหนือฟังพ่อพร้อมกับพยักหน้ารับ
“ดาวเหนือคิดว่าทำไมพี่ท้องฟ้าถึงระบายสี
ในการบ้านของลูกล่ะ” พ่อถาม
“พี่ท้องฟ้าชอบระบายสีครับ
และก็คงชอบรูปที่ผมวาด
เพราะพี่เคยบอกว่าผมวาดรูปสวย”
เด็กชายกล่าว
“พี่คงอยากช่วยให้การบ้านของผมเสร็จ”
ดาวเหนือกล่าว
“พ่อก็คิดแบบนั้นนะ แค่วิธีการของท้องฟ้า
อาจไม่ถูกต้อง เราลองบอกพี่ดี ๆ ไหมลูก”
พ่อแนะนำ
เมื่อถึงเวลาอาหารเย็น ทุกคนนั่งประจำที่ของตัวเอง
ดาวเหนือหันไปมองพี่สาวพร้อมกับพูดว่า
“ผมขอโทษที่เสียงดังใส่พี่นะ
ผมทำเพราะไม่ชอบที่พี่ระบายสีในการบ้านของผม”
ท้องฟ้าพยักหน้ารับด้วยสีหน้ารู้สึกผิด
“ขอโทษ”
ดาวเหนือรับรู้ได้ว่าพี่อยากอธิบาย
ความรู้สึกมากกว่านี้ แต่น่าจะนึกคำพูดไม่ออก
“ไม่เป็นไรครับ ผมดีขึ้นแล้ว” เด็กชายยิ้มตอบ
“เอาล่ะมากินข้าวกันเถอะ วันนี้แม่ทำของอร่อยไว้เต็มเลย”
แม่พูดชวนทุกคนด้วยเสียงร่าเริง ทำให้ท้องฟ้า
และดาวเหนือกลับมามีแววตาสดใส ยิ้มกว้างอีกครั้ง
วันหยุดสุดสัปดาห์
แม่พาดาวเหนือและท้องฟ้าไปว่ายน้ำ
ระหว่างที่ว่ายอยู่ เพื่อน ๆ ก็เข้ามาล้อเลียน
ท่าทางว่ายน้ำไม่แข็งของท้องฟ้าต่อหน้าดาวเหนือ
แม้ว่าดาวเหนือจะพยายามอธิบายว่ากล้ามเนื้อของท้องฟ้า
ไม่แข็งแรง แต่เพื่อน ๆ ก็ยังล้อต่อไป
แม่เห็นท่าทางไม่สบายใจ
ของดาวเหนือจึงเข้ามาคุยด้วย
“เพื่อน ๆ ล้อเลียนท่าทางของพี่ท้องฟ้าครับ
ผมไม่ชอบเลย” ดาวเหนือเล่าให้แม่ฟัง
“ถ้าพี่ท้องฟ้าพูดคล่องกว่านี้
แก้ปัญหาเก่งกว่านี้ ว่ายน้ำเก่งกว่านี้
ผมก็คงไม่ต้องรู้สึกอายที่ถูกเพื่อนแกล้ง”
“แม่เข้าใจดาวเหนือนะลูก
ไม่ผิดเลยที่ดาวเหนือจะรู้สึกอาย
แต่เรามาลองทำความเข้าใจพี่ท้องฟ้ากันไหม”
ดาวเหนือฟังแม่พูดจบก็พยักหน้า
ในใจลึก ๆ เด็กชาย รัก พี่สาว
เพียงแต่ยังรู้สึก สับสน กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
“ตอนเด็ก ๆ ท้องฟ้าเป็นเด็กน่ารักนะ
เกิดมาหน้าตาคล้ายกับดาวเหนือเลย
แต่ประมาณสามขวบ พ่อแม่ก็สังเกตว่า
ท้องฟ้ามีพัฒนาการ นั่ง คลาน หัดเดิน
และพูดช้ากว่าเด็กวัยเดียวกัน” แม่กล่าว
“พ่อกับแม่พาท้องฟ้า
ไปตรวจกับคุณหมอ
ถึงรู้ว่า ท้องฟ้าเป็น โรคบกพร่องทางสติปัญญา”
เด็กชายฟังแล้วรู้สึกสงสัย “โรคนี้เป็นยังไงครับ”
“โรคนี้เป็นมาตั้งแต่เกิด
คนที่เป็นมักจะมีกล้ามเนื้อไม่ค่อยแข็งแรง
จำเรื่องต่าง ๆ ไม่ค่อยได้ คิดเรื่องยาก ๆ
ซับซ้อนก็ไม่ได้”
ดาวเหนือฟังแม่และพยายามทำความเข้าใจ
เมื่อฟังแม่พูดจบ เด็กชายก็ใจเย็นลง
จากนั้นก็เกิดความกังวลขึ้นมา
“แล้ววันหนึ่ง...ผมจะเป็นเหมือนพี่ไหมครับ”
แม่ยิ้มก่อนจะตอบกลับไปว่า
“ตอนที่ดาวเหนือเกิดคุณหมอตรวจแล้ว
ดาวเหนือไม่เป็นหรอก ไม่ใช่โรคติดต่อ
ดาวเหนือยังเล่นกับท้องฟ้าได้
กินขนมด้วยกันได้
เดินจับมือกันได้นะ”
“สุดท้ายแล้ว ขอให้ลูกรู้ไว้เสมอ
ลูกไม่ได้เผชิญเรื่องนี้อยู่คนเดียว
พ่อกับแม่จะอยู่ข้าง ๆ ลูก
พร้อมเข้าใจทั้งท้องฟ้า
และดาวเหนือเสมอนะ”
แม่กล่าวกับเด็กชาย
เด็กชายยิ้มรับคำพูดของแม่
ด้วยความเข้าใจ
“ว่ายน้ำกันดาวเหนือ”่
เสียงสดใสของท้องฟ้าชวนน้องชาย
ดาวเหนือเข้าใจแล้วว่า
พี่สาวไม่ได้ตั้งใจจะเป็นแบบนี้
ตั้งแต่วันพรุ่งนี้ไปเขาจะพยายามเข้าใจ
พี่ท้องฟ้าให้มากขึ้น
“พี่ท้องฟ้า ถึงเวลาตื่นแล้ววว”
เสียงสดใสของ “ดาวเหนือ”
เด็กชายวัย 9 ขวบร้องเรียกพี่สาว
ให้ตื่นจากความฝัน
เด็กหญิงตัวน้อยค่อย ๆ ลืมตา
มองน้องชายก่อนจะพูดว่า
“โรงเรียน ไปโรงเรียน...”
นาฬิกาบอกเวลา 07:20 น.
ดาวเหนือพร้อมไปโรงเรียน แต่ท้องฟ้ายังกินข้าวอยู่
เขานั่งรอพี่สาวด้วยความเบื่อหน่าย
ติ๊ก ติ๊ก ติ๊ก
เสียงนาฬิกาเดินผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ในความคิดของดาวเหนือ
“พี่ท้องฟ้าเป็นแบบนี้ทุกเช้าเลยครับพ่อ
ทำอะไรก็ช้า ผมอยากไปโรงเรียนเร็ว ๆ
จะได้เล่นกับเพื่อน” ดาวเหนือบ่นให้พ่อฟัง
เด็กชายรู้สึกหงุดหงิด เขาเดินไปเดินมา
จนพ่อต้องเข้ามาปลอบ
“พ่อรู้ว่า ลูกกำลังไม่พอใจ แต่ดูสิ
พี่ท้องฟ้าเหลือข้าวในจานไม่กี่คำเอง”
ดาวเหนือหันไปมองพี่สาวด้วยสีหน้าไม่พอใจ
ก่อนจะกลับมามองหน้าพ่อ
“เรามานับ 1 – 10
ลูกจะได้ใจเย็นลงด้วย”
พ่อกล่าวพร้อมกับลูบหลังดาวเหนือเบา ๆ
1 2 3 4 5 …
“ดีมากลูก เริ่มควบคุมอารมณ์
ตัวเองได้แล้วใช่ไหม”
พ่อถามลูกชาย
ดาวเหนือพยักหน้าและหันไปมองพี่สาว
6 7 8 9 10
“เห็นไหม ท้องฟ้ากินข้าวเสร็จแล้ว”
พ่อพูดเสริม
เมื่อเห็นดังนั้นดาวเหนือก็อารมณ์ดีขึ้น
เด็กชายรู้สึกโล่งใจ เขาเข้าใจแล้วว่า
ไม่จำเป็นต้องโมโห พี่ท้องฟ้าก็กินข้าวเสร็จเหมือนกัน
หลายครั้งที่เขาเผลอโมโหพี่สาวเมื่อไม่ได้ดั่งใจ
ตั้งแต่นี้ไปเขาจะพยายามใจเย็น
กับพี่ท้องฟ้าให้มากขึ้น
ถึงโรงเรียนแล้ว
เด็กชายนึกขึ้นได้ว่ามีเรื่องที่ต้องชวนพี่สาว
“พี่ครับ มีร้านไอศกรีมเปิดใหม่หลังโรงเรียน
เย็นนี้ไปกินกันไหม” ดาวเหนือถามพี่สาว
“ไปสิ ไปสิ” ท้องฟ้าตอบด้วยความดีใจ
“งั้นวันนี้หลังเลิกเรียนไปเจอกันที่ร้านเลยนะ”
เด็กหญิงพยักหน้ารับคำ ก่อนโบกมือลาน้องชาย
ที่วิ่งขึ้นอาคารเรียน
ถึงเวลานัดแล้ว
5 นาทีผ่านไป
10 นาทีผ่านไป
20 นาทีผ่านไป... ท้องฟ้าก็ยังไม่มา
“พี่ลืมแน่ ๆ” ดาวเหนือคิดในใจขณะแกว่งขาอยู่บนม้านั่ง
สุดท้ายดาวเหนือก็ออกตามหาและพบว่า
ท้องฟ้านั่งร้องไห้อยู่ข้าง ๆ คุณครู
ประจำชั้นในห้องเรียน พร้อมกับพึมพำว่า
“ไม่เจอน้อง น้องกลับบ้านไปแล้ว”
ดาวเหนือวิ่งเข้าไปหาพี่สาวพร้อมถอนหายใจ
“เฮ้อ! อยู่นี่เอง เรานัดกันที่ร้านไอศกรีมไง
ลืมอีกแล้วใช่ไหม ผมรอพี่จนร้านปิดแล้วนะ”
ดาวเหนือกล่าว
ท้องฟ้าพยักหน้า พร้อมกับตอบดาวเหนือ
“พี่ไปแล้ว หาไม่เจอ”
นั่นทำให้เด็กชายแสดงท่าทาง
เบื่อหน่ายมากขึ้นไปอีก
เขาไม่เข้าใจเลย
ว่าทำไมพี่สาวถึงเป็นแบบนี้
ครูเห็นท่าทางของดาวเหนือ
จึงชวนเด็กชายคุยด้วย
“ครูเจอท้องฟ้าที่หน้าโรงเรียน
ดาวเหนือไม่เจอพี่สาวเหรอคะ”
เด็กชายส่ายหน้า
“ไม่เจอครับ เรานัดกันที่ร้านไอศกรีม
หลังโรงเรียน ผมรอตั้งนาน”
“พี่...” ท้องฟ้าพยายามนึกหาเหตุผล
แต่นึกยังไงก็นึกไม่ออก
“ท้องฟ้าน่าจะจำได้นะว่านัดกัน
แต่ไปผิดสถานที่” ครูอธิบาย
“ผมบอกพี่แล้วนะว่าหลังโรงเรียน”
เด็กชายขมวดคิ้วแสดงสีหน้าไม่พอใจ
ครูเห็นสถานการณ์เริ่มไม่ดีจึงชวนดาวเหนือคุย
“ดาวเหนือเคยลืมอะไรซ้ำ ๆ ไหม
ลืมในสิ่งที่คนอื่นเตือนบ่อย ๆ”
ดาวเหนือเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะตอบว่า
“ผมชอบลืมถอดถุงเท้าลงในตะกร้าซักผ้าครับ
แม่เตือนทุกเย็นเลย แต่ผมก็ยังลืม”
“ท้องฟ้าเองก็เหมือนกัน ถึงจะย้ำแล้วก็ยังลืมได้
งั้นเราลองหาวิธีอื่นนอกจากนี้ดูไหม”
ครูชวนเด็กชายคิด
“เขียนบอกพี่ ดีไหมครับ” ดาวเหนือเสนอ
“ก็ดีนะ แต่ถ้าพี่ไม่รู้สถานที่ล่ะ” ครูเสริม
“งั้นวาดภาพด้วยอาจจะช่วยได้ครับ”
“ดีเลย เขียนแล้วมีภาพวาดด้วยก็จะชัดเจนขึ้น
น่าจะช่วยท้องฟ้าได้นะ” ครูกล่าวพร้อมกับรอยยิ้ม
ได้ยินดังนั้นดาวเหนือจึงนำสมุดภาพวาด
ออกมาจากกระเป๋าแล้ววาดแผนผังคร่าว ๆ
ของโรงเรียน จากนั้นจึงยื่นให้กับพี่สาว
ครูเห็นสถานการณ์เริ่มไม่ดีจึงชวนดาวเหนือคุย
“ดาวเหนือเคยลืมอะไรซ้ำ ๆ ไหม
ลืมในสิ่งที่คนอื่นเตือนบ่อย ๆ”
ตอนเย็นเมื่อทั้งสองกลับถึงบ้าน
ดาวเหนือเปิดกระเป๋าแล้วหยิบการบ้านขึ้นมาทำ
วันนี้การบ้านวิชาศิลปะให้วาดรูปสัตว์ที่ชอบ
ส่วนท้องฟ้าก็ทำการบ้านของตัวเอง
โดยมีพ่อประกบอยู่ข้าง ๆ
เวลาผ่านไป
ดาวเหนือทำการบ้านเสร็จแล้วส่วนหนึ่ง
จึงลุกไปอาบน้ำ พ่อไปช่วยแม่ทำอาหารเย็น
ส่วนท้องฟ้านั่งเล่นในห้องรอดาวเหนือ
“อะไรเนี่ย!”
เสียงดาวเหนือดังลั่นด้วยความโกรธ
หลังจากกลับมาเห็นภาพถูกระบายสีโดยฝีมือพี่สาว
พ่อกับแม่ได้ยินเสียงดาวเหนือโวยวาย จึงเดินมาดู
ดาวเหนือฟ้องพ่อกับแม่ว่า
“พี่ท้องฟ้าระบายสีในใบงานเลอะเทอะ
ผมตั้งใจทำตั้งนาน พี่ท้องฟ้ามาทำให้งานไม่สวยเลย”
“ทำไมพี่ท้องฟ้าทำแบบนี้” ดาวเหนือถามเสียงดัง
ท้องฟ้ายังรู้สึกไม่เข้าใจว่าตนเองทำอะไรผิด
ที่ทำไปเพราะเห็นว่าดาวเหนือยังไม่ได้ลงสีในภาพวาด
จึงอยากช่วยน้อง เด็กหญิงได้แต่อ้ำ ๆ อึ้ง ๆ
นึกคำพูดไม่ออกว่าจะอธิบายอย่างไรดี
แต่รับรู้ได้ว่าน้องชายกำลังไม่พอใจ
และเธอก็เสียใจ
แม่จึงจูงมือท้องฟ้าไปที่ห้องนอนของตัวเอง
ส่วนพ่อก็เดินมานั่งข้าง ๆ ดาวเหนือ
“ใจเย็น ๆ ก่อนนะลูก”
พ่อพยายามปลอบลูกชายพร้อมกับตบไหล่เบา ๆ
“ดาวเหนือรู้สึกไม่พอใจที่พี่ท้องฟ้ามาระบายสี
ในงานของลูกใช่ไหม”
“ผมไม่เข้าใจพี่เลย พี่ไม่รู้เหรอ
ว่านั่นเป็นการบ้านของผม” เด็กชายฟ้องพ่อ
“พ่อเข้าใจดาวเหนือนะ
มันไม่ผิดเลยที่ดาวเหนือจะรู้สึกไม่พอใจ”
ดาวเหนือฟังพ่อพร้อมกับพยักหน้ารับ
“ดาวเหนือคิดว่าทำไมพี่ท้องฟ้าถึงระบายสี
ในการบ้านของลูกล่ะ” พ่อถาม
“พี่ท้องฟ้าชอบระบายสีครับ
และก็คงชอบรูปที่ผมวาด
เพราะพี่เคยบอกว่าผมวาดรูปสวย”
เด็กชายกล่าว
“พี่คงอยากช่วยให้การบ้านของผมเสร็จ”
ดาวเหนือกล่าว
“พ่อก็คิดแบบนั้นนะ แค่วิธีการของท้องฟ้า
อาจไม่ถูกต้อง เราลองบอกพี่ดี ๆ ไหมลูก”
พ่อแนะนำ
เมื่อถึงเวลาอาหารเย็น ทุกคนนั่งประจำที่ของตัวเอง
ดาวเหนือหันไปมองพี่สาวพร้อมกับพูดว่า
“ผมขอโทษที่เสียงดังใส่พี่นะ
ผมทำเพราะไม่ชอบที่พี่ระบายสีในการบ้านของผม”
ท้องฟ้าพยักหน้ารับด้วยสีหน้ารู้สึกผิด
“ขอโทษ”
ดาวเหนือรับรู้ได้ว่าพี่อยากอธิบาย
ความรู้สึกมากกว่านี้ แต่น่าจะนึกคำพูดไม่ออก
“ไม่เป็นไรครับ ผมดีขึ้นแล้ว” เด็กชายยิ้มตอบ
“เอาล่ะมากินข้าวกันเถอะ วันนี้แม่ทำของอร่อยไว้เต็มเลย”
แม่พูดชวนทุกคนด้วยเสียงร่าเริง ทำให้ท้องฟ้า
และดาวเหนือกลับมามีแววตาสดใส ยิ้มกว้างอีกครั้ง
วันหยุดสุดสัปดาห์
แม่พาดาวเหนือและท้องฟ้าไปว่ายน้ำ
ระหว่างที่ว่ายอยู่ เพื่อน ๆ ก็เข้ามาล้อเลียน
ท่าทางว่ายน้ำไม่แข็งของท้องฟ้าต่อหน้าดาวเหนือ
แม้ว่าดาวเหนือจะพยายามอธิบายว่ากล้ามเนื้อของท้องฟ้า
ไม่แข็งแรง แต่เพื่อน ๆ ก็ยังล้อต่อไป
แม่เห็นท่าทางไม่สบายใจ
ของดาวเหนือจึงเข้ามาคุยด้วย
“เพื่อน ๆ ล้อเลียนท่าทางของพี่ท้องฟ้าครับ
ผมไม่ชอบเลย” ดาวเหนือเล่าให้แม่ฟัง
“ถ้าพี่ท้องฟ้าพูดคล่องกว่านี้
แก้ปัญหาเก่งกว่านี้ ว่ายน้ำเก่งกว่านี้
ผมก็คงไม่ต้องรู้สึกอายที่ถูกเพื่อนแกล้ง”
“แม่เข้าใจดาวเหนือนะลูก
ไม่ผิดเลยที่ดาวเหนือจะรู้สึกอาย
แต่เรามาลองทำความเข้าใจพี่ท้องฟ้ากันไหม”
ดาวเหนือฟังแม่พูดจบก็พยักหน้า
ในใจลึก ๆ เด็กชาย รัก พี่สาว
เพียงแต่ยังรู้สึก สับสน กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
“ตอนเด็ก ๆ ท้องฟ้าเป็นเด็กน่ารักนะ
เกิดมาหน้าตาคล้ายกับดาวเหนือเลย
แต่ประมาณสามขวบ พ่อแม่ก็สังเกตว่า
ท้องฟ้ามีพัฒนาการ นั่ง คลาน หัดเดิน
และพูดช้ากว่าเด็กวัยเดียวกัน” แม่กล่าว
“พ่อกับแม่พาท้องฟ้า
ไปตรวจกับคุณหมอ
ถึงรู้ว่า ท้องฟ้าเป็น โรคบกพร่องทางสติปัญญา”
เด็กชายฟังแล้วรู้สึกสงสัย “โรคนี้เป็นยังไงครับ”
“โรคนี้เป็นมาตั้งแต่เกิด
คนที่เป็นมักจะมีกล้ามเนื้อไม่ค่อยแข็งแรง
จำเรื่องต่าง ๆ ไม่ค่อยได้ คิดเรื่องยาก ๆ
ซับซ้อนก็ไม่ได้”
ดาวเหนือฟังแม่และพยายามทำความเข้าใจ
เมื่อฟังแม่พูดจบ เด็กชายก็ใจเย็นลง
จากนั้นก็เกิดความกังวลขึ้นมา
“แล้ววันหนึ่ง...ผมจะเป็นเหมือนพี่ไหมครับ”
แม่ยิ้มก่อนจะตอบกลับไปว่า
“ตอนที่ดาวเหนือเกิดคุณหมอตรวจแล้ว
ดาวเหนือไม่เป็นหรอก ไม่ใช่โรคติดต่อ
ดาวเหนือยังเล่นกับท้องฟ้าได้
กินขนมด้วยกันได้
เดินจับมือกันได้นะ”
“สุดท้ายแล้ว ขอให้ลูกรู้ไว้เสมอ
ลูกไม่ได้เผชิญเรื่องนี้อยู่คนเดียว
พ่อกับแม่จะอยู่ข้าง ๆ ลูก
พร้อมเข้าใจทั้งท้องฟ้า
และดาวเหนือเสมอนะ”
แม่กล่าวกับเด็กชาย
เด็กชายยิ้มรับคำพูดของแม่
ด้วยความเข้าใจ
“ว่ายน้ำกันดาวเหนือ”่
เสียงสดใสของท้องฟ้าชวนน้องชาย
ดาวเหนือเข้าใจแล้วว่า
พี่สาวไม่ได้ตั้งใจจะเป็นแบบนี้
ตั้งแต่วันพรุ่งนี้ไปเขาจะพยายามเข้าใจ
พี่ท้องฟ้าให้มากขึ้น
สวัสดี ฉันชื่อ วี ตอนนี้ฉันตื่นเต้นมาก เพราะพรุ่งนี้ ฉัน
จะได้ไปค้างคืนที่บ้านของกอไผ่เพื่อนสนิทที่สุดของฉัน
เราจะทำงานประดิษฐ์วิชาวิทยาศาสตร์ด้วยกัน
“เอส พรุ่งนี้พี่ไม่อยู่ นอนกับพ่อแม่นะ”
นั่นเอสน้องชายสุดที่รักของฉันเอง
เอสเขาไม่ตอบฉันอีกตามเคย
ฉันก็รู้นะ ว่าการคุยกับเอส
ไม่เหมือนการคุยกับคนอื่น
พูดยาว ๆ รวดเดียวแบบนี้
เอสไม่เข้าใจหรอก
แต่ก็เผลอพูดยาวอยู่เรื่อย
“เฮ้อ”
ฉันต้องเดินไปจับแขนเอส
เพื่อให้เอสรู้สึกตัว
คืนนั้นก่อนนอน ฉันเขียนไดอารี่
ดีใจจังพรุ่งนี้จะได้ไปค้างบ้านกอไผ่เป็นครั้งแรกแล้ว
ฉันไม่ได้เขียนทุกวันหรอกนะ เขียนเฉพาะวันที่สำคัญจริง ๆ
คุณหมอเคยแนะนำให้ฉันเขียนบรรยายความรู้สึกต่าง ๆ
จะดีสุด ๆ หรือแย่สุด ๆ ก็ได้
โดยที่พ่อแม่รับปากฉันกับคุณหมอแล้วว่า
จะไม่เปิดอ่านเด็ดขาด!
ฉันตื่นเต้นที่จะได้ไปบ้านกอไผ่จนนอนไม่หลับ
เลยพลิกอ่านไดอารี่เล่น ๆ
ตอนที่แม่บอกว่า มีน้องอยู่ในท้อง ฉันดีใจมาก
รอจะได้เจอน้องไวๆ จะได้มาเป็นเพื่อนเล่นด้วยกัน
แต่ตอนนี้น้องเอส 3 ขวบแล้ว
น้องยังไม่พูดกับฉันเลย พ่อกับแม่ก็ดูเครียดๆ
คุณหมอบอกว่าเอสเป็นออทิสติก
ฉันก็ไม่ค่อยเข้าใจหรอก
พ่อกับแม่บอกว่า
เอสจะไม่เหมือนกับเด็กคนอื่นนะ
พวกเราต้องช่วยกันดูแลเอสเป็นพิเศษ
จะพิเศษขนาดไหนกันนะ
ฉันไม่รู้ว่าเอสอยากได้อะไร
เพราะเอสไม่พูด ไม่ชี้
พอหยิบมาให้ไม่ถูก เอสก็จะจับโยนทิ้ง
เหมือนทุกคนต้องเล่นเกมเดาใจเอสตลอดเวลา
บางทีก็สนุกดี แต่บางทีก็น่าหงุดหงิด
เอสไม่รู้ว่าอะไรที่ควรหรือไม่ควรเข้าไปยุ่ง
วันนี้เอสเกือบโดนน้ำร่้อนลวกแล้ว
ดีนะที่พ่อเห็นก่อน
ถ้าไม่มีพ่อ แม่ และฉัน
เอสจะทำอย่างไร
วันนี้เอสนั่งจ้องพัดลมทั้งวันเลย
บางทีมันก็น่ากลัวนะ
เอสสนใจเรื่องอวกาศมาก
นั่งอ่านหนังสือเกี่ยวกับดาวได้เป็นชั่วโมงเลย
แม่บอกว่าอนาคต
เอสอาจจะเก่งเรื่องอวกาศมาก ๆ
พ่อกับแม่ซื้อหนังสือกับของเล่น
เกี่ยวกับอวกาศมาให้จนเต็มห้อง
แต่ไม่มีของที่ฉันชอบเลย
วันนี้ฉันเผลอทำ
กระติกน้ำจรวดของเอสแตก
ฉันขอโทษแล้ว
แต่เอสก็ยังโกรธมาก
จนมากัดแขนฉัน
เอสกลายร่างเป็นปีศาจไปแล้ว!
เอสทำตุ๊กตาตัวโปรดของฉันพัง
แต่เอสไม่ขอโทษ
แถมไม่สนใจ
ความรู้สึกของฉันเลยสักนิด
คอยดูเถอะ!
ฉันก็จะไม่สนใจเอสแล้วเหมือนกัน!
เช้านี้วุ่นวายมาก
คุณพ่อต้องเปลี่ยนเส้นทาง
เพราะถนนปิดปรับปรุง
เอสร้องไห้โวยวาย
เพราะไม่ใช่เส้นทางเดิม
ฉันรู้ว่าเอสไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง
แต่มันช่วยไม่ได้นี่นา ทำไมเข้าใจยากจัง
ตอนกลับบ้าน
คุณลุงคนขับรถโรงเรียนตัดผมทรงใหม่
เอสจำไม่ได้ จึงร้องไห้นานมาก
ทำอย่างไรก็ไม่ยอมขึ้นรถ
คนอื่นดูไม่ค่อยพอใจ
ที่ต้องกลับบ้านช้า
เฮ้อ ฉันทั้งเหนื่อย ทั้งอาย
ไม่อยากอยู่ตรงนี้เลย
พ่อแม่ต้องทำงาน และดูแลเอส
ไม่ได้มาเล่นกับฉันเลย
เหงาจัง
เริ่มง่วงแล้ว
ฉันปิดสมุดไดอารี่
ปิดไฟ แล้วจึงเข้านอน
เช้านี้ก่อนไปบ้านกอไผ่
ฉันช่วยแม่จัดโต๊ะอาหาร
“แม่คะ จานสีน้ำเงินของเอสอยู่ไหนคะ”
ฉันหาชุดจานชามประจำตัวของเอสไม่เจอ
“อ๋อ แม่ล้างอยู่จ้ะ” แม่ตอบ
“จานอะพอลโล! อยู่ไหน อยู่ไหน อยู่ไหน”
เอสถามไม่หยุดและทุบโต๊ะเสียงดัง
“รอเดี๋ยวนะจ๊ะ แป๊บเดียวจ้ะ”
แม่รีบล้างจาน แล้วเอาไปให้เอสทันที เพื่อให้เอสสงบลง
“วีล้างจานที่เหลือให้แม่ทีนะลูก แม่ต้องดูน้อง”
“ค่ะ” ฉันก็โดนแบบนี้ทุกทีแหละ
ฉันไหว้แม่ “วีไปแล้วนะคะแม่”
และหันไปบอกเอส “พี่ไปแล้วนะเอส”
แล้วออกมาหาพ่อที่อยู่หน้าบ้าน
“พ่อ พ่อคะ… พ่อ”
ฉันเรียกอยู่นานกว่าพ่อจะหันมา
“หนูไปบ้านกอไผ่แล้วนะคะ”
“ไปดีมาดีนะลูก”
พ่อตอบโดยไม่ละสายตามามองฉันเลย
เพราะมัวแต่คุยกับคุณครูสอนพัฒนาการของเอส
‘เอสอีกแล้ว เอส เอส เอส อะไร ๆ ก็เอส’
เมื่อไปถึงบ้านของกอไผ่
ฉันก็เห็นว่า นอกจากกอไผ่แล้ว
ยังมีคนอื่นยืนรอฉันอยู่หน้าบ้านด้วย
คุณพ่อคุณแม่ของกอไผ่
แล้วก็น้องชายชื่อใบสน
ทุกคนใจดีมาก
ฉันคิดว่าวันนี้จะต้องสนุกแน่ ๆ
ได้มีเวลาส่วนตัวอยู่กับกอไผ่สักที
เพราะปกติที่โรงเรียนเอสจะคอยมากวนอยู่เรื่อย
ฉันกับกอไผ่ขึ้นไปทำงานประดิษฐ์ด้วยกันบนห้อง
“ว้าว ห้องเธอสวยจัง”
ฉันตื่นตาตื่นใจกับห้องของกอไผ่มาก
“ใช่สิ ฉันแต่งห้องเองเลยนะ
สวยใช่ไหมละ” กอไผ่ถาม
“สวยมากเลย ห้องฉันมีแต่ของที่เอสชอบ” ฉันได้แต่ยิ้มแหย
“จริงสิ ฉันลืมไป…” กอไผ่เสียงอ่อย
“เรามาทำงานกันเถอะ!”
ฉันรีบเปลี่ยนเรื่อง
“อื้อ!” กอไผ่พยักหน้ารับ
“โอ้โห สวยจัง!”
กอไผ่ชมฝีมือการต่อโมเดลของฉัน
“พ่อกับแม่เคยซื้อโมเดลแบบนี้ มาตั้งไว้บนหัวเตียง
ฉันเห็นจนจำได้แม่นเลย…เพราะว่าเอสชอบ”
“ยอดเลย แบบนี้งานกลุ่มเราต้องสวยที่สุดในห้องแน่ ๆ ”
กอไผ่ยิ้มดีใจ ฉันเองก็รู้สึกภูมิใจไปด้วย
แต่ทันใดนั้น!
ตึงงง!
ประตูเปิดกระแทกผนังเสียงดังลั่น
เสียงตะโกนของใบสนตามมาติด ๆ
“ฮ่าาา! ก็อตซิลล่ามาแล้ว!! จะพังทุกอย่างให้ราบคาบเลย!!”
ใบสนถือตุ๊กตาก็อตซิลล่า พุ่งใส่โมเดลระบบสุริยะบนโต๊ะ
โครมมม!
“ใบสน!! เล่นแบบนี้อีกแล้วนะ!
งานพี่พังหมดแล้ว! ออกไปเลย!”
กอไผ่โกรธมาก ตะเบ็งเสียงใส่ใบสน
“แบร่~ แบร่~ แบร่~”
ใบสนส่งเสียงล้อเลียนแล้วออกจากห้องไป
ปัง!
กอไผ่ปิดประตูไล่หลังอย่างแรง
“ใบสนนี่พูดไม่รู้เรื่องเลย ก็บอกแล้วนะ ว่าวันนี้จะทำงานกับเพื่อน
ดูสิ! ต้องทำใหม่หมดเลย” กอไผ่ดูหงุดหงิดมาก
“ขอโทษนะวี” กอไผ่ขอโทษฉันด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวเราทำกันใหม่ก็ได้”
ฉันไม่ถือสาใบสนหรอก
“เธอไม่โกรธเลยเหรอ” กอไผ่สงสัย
“ก็โกรธนะ แต่ฉันชินแล้ว
เพราะเอสก็ทำของฉันพังบ่อยเหมือนกัน
แต่ฉันรู้ รู้ว่าเอสไม่ได้ตั้งใจหรอกนะ”
ฉันตอบ
ฉันกับกอไผ่ช่วยกันเก็บชิ้นส่วนโมเดล
ที่ตกกระจายตามพื้น แล้วเริ่มทำกันใหม่ตั้งแต่ต้น
เราทำไป พูดคุยกันไป
จนในที่สุดก็เสร็จ
“เฮ้อ เสร็จสักที!”
กอไผ่ถอนหายใจยาว
ฉันเห็นผลงานแล้วก็อดคิดถึงเอสไม่ได้
‘ถ้าเอสได้มาเห็นต้องชอบมากแน่ ๆ’
“ถ้าใบสนไม่มาพัง คงเสร็จไปนานแล้ว”
กอไผ่ยังหงุดหงิดใบสนไม่หาย
“ไม่เป็นไรนะ อย่างน้อยมันก็เสร็จแล้ว สวยด้วย”
ฉันพยายามพูดปลอบใจ
“เธอพูดเหมือนแม่ฉันเลย เวลาใบสนซนมาก ๆ
แม่ก็ช่วยพูดให้แบบนี้ตลอด” กอไผ่ตอบด้วยน้ำเสียงน้อยใจ
“พ่อแม่เธอก็โอ๋แต่น้องเหมือนกันเหรอ”
ฉันประหลาดใจมาก
ไม่คิดว่ากอไผ่ก็เจอปัญหาเดียวกับฉัน
“ใช่…ถึงจะไม่ทุกครั้งก็เถอะ” กอไผ่ตอบ
“จริงสินะ…ไม่ทุกครั้ง”
ฉันฉุกคิดเมื่อได้ฟังคำตอบของกอไผ่
สองพี่น้อง กอไผ่และใบสน
เดี๋ยวก็ดีกัน เดี๋ยวก็ทะเลาะกัน
จนค่ำจึงค่อยแยกย้ายกันไปนอน
ฉันนอนห้องเดียวกับกอไผ่
ตอนนี้กอไผ่กำลังอ่านหนังสือ
ส่วนฉันกำลังจะเขียนไดอารี่
อยากบันทึกอะไรเก็บไว้สักหน่อยน่ะ
พอไม่ได้นอนกับเอส
ฉันกลับรู้สึกแปลก ๆ
ฉันนอนไม่หลับ
จนต้องลุกขึ้นมาเปิดไดอารี่อ่านอีกครั้ง
เผื่อว่า ‘ความรู้สึกแปลก ๆ’
ในใจจะหายไป…
ฉันแอบมองเอสตอนหลับ
น้องเหมือนเจ้าชายตัวน้อย ๆ เลย
จมูกเล็กกระจิริด
ขนตายาวเหมือนตุ๊กตา
แถมแก้มยังแดง
อย่างกับมะเขือเทศสุก
น่ารักจริง ๆ
ถึงน้องจะยังไม่เล่นกับฉันสักที
แต่ไม่เป็นไรหรอกนะ ฉันว่าฉันรอได้…”
ที่เคยบอกว่า
จะไม่สนใจเอสอีกแล้ว
ฉันทำไม่ได้หรอก
วันนี้มีเด็กที่โรงเรียน
มาล้อท่าทางของเอส
ฉันไม่ชอบเลย
ฉันว่าพวกนั้นกลับไปด้วย
แล้วก็ไปบอกคุณครู
ไม่ต้องห่วงนะเอส
พี่จะปกป้องน้องเอง!
ที่โรงเรียนฉันบ่นเรื่องเอสให้กอไผ่ฟัง
กอไผ่รับฟังและเล่าให้ฉันฟังว่า
น้องของเธอก็ซนเหมือนกัน
ฉันคิดว่ากอไผ่คงแค่อยากปลอบใจฉัน
เธอเป็นเพื่อนที่ดีมาก ๆ เลย
ขอบใจนะ
เอสเรียนพละทุกวันพุธ
ต้องใส่รองเท้าสีขาว
แต่พ่อหยิบรองเท้านักเรียน
สีดำมาวางไว้
เอสโวยวายทันที
วันพุธสีขาว! ไม่ใช่สีดำ!
วันพุธสีขาว!
สีขาว! สีขาว!
พ่อรีบหยิบมาเปลี่ยนด้วยความตกใจ
เห็นแล้วก็ขำท่าทางของพ่อเหมือนกัน
ถึงเอสจะเอะอะเสียงดังจนฉันหนวกหู
แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า
เอสความจำดีมาก
วันนี้เอสเกือบมีเรื่อง
ที่สนามเด็กเล่นแล้ว
เพราะไม่ยอมลุกออกจากม้าโยก
เด็กคนอื่นไม่มีใครเข้าใจ
ว่าทำไมเอสไม่ยอมแบ่งกันเล่น
แต่ฉันเข้าใจนะ
เวลาเอสชอบอะไร
ก็จะเล่นอยู่แบบนั้น
ช่วงนี้ทุกคนเหนื่อยน้อยลง
เพราะพ่อกับแม่ให้ครูสอนพัฒนาการ
มาดูแลเอสในวันเสาร์อาทิตย์
พวกเราต้องเรียนรู้ไปพร้อม ๆ กัน
‘หวังว่าทุกอย่างต่อจากนี้จะดีขึ้นนะ’
วันนี้เอสน่ารักเป็นพิเศษ
คงเป็นเพราะฉันซื้อตุ๊กตาดาวเสาร์มาให้
บางทีเอสก็เหมือนเด็กทั่วไป
พอได้ของที่ชอบก็ทำตัวดีขึ้นมาเลย
วันนี้เอสเอาแต่พูดซ้ำ ๆ เหมือนเดิม
แต่ฉันไม่หงุดหงิดหรอกนะ
เพราะคำที่เอสพูดซ้ำ ๆ
คือคำว่า
ฉันก็รักเอสเหมือนกัน
:)
คืนนี้เราดูการ์ตูน
มนุษย์ต่างดาวตะลุยอวกาศตอนเดิม
วนเป็นรอบที่ร้อยแล้วมั้ง
เอสชอบดูอะไรซ้ำ ๆ
ยิ่งเกี่ยวกับอวกาศยิ่งชอบ
ฉันเบื่อจัง
แต่คงทำอะไรไม่ได้
เพราะเราสัญญากันไว้แล้ว
ว่าจะผลัดกันดู
ฉันแอบมาร้องไห้คนเดียว
แต่พ่อกับแม่มาเห็น
จึงเข้ามากอดฉันแน่นมาก
แล้วถามฉันว่า
เกิดอะไรขึ้นไม่สบายหรือเปล่า
ฉันไม่ได้เป็นอะไรหรอกนะ
แค่น้อยใจ ว่าอะไร ๆ ก็เอส
แต่ฉันไม่ได้ตอบ
เพราะฉันรู้ว่าพ่อแม่ก็รักฉันอยากสนใจฉัน
พ่อกับแม่เหนื่อยที่ต้องดูแลเอสเป็นพิเศษ
แค่พ่อกับแม่มากอดฉัน ฉันก็รู้สึกดีขึ้นแล้ว
ฉัน พ่อและแม่
ฝึกให้เอสติดกระดุมเสื้อนักเรียนเอง
เอสตั้งใจมาก
ไม่โมโห หรืองอแงเลยสักนิด
ในที่สุดเอสก็ติดกระดุมได้หนึ่งเม็ด
พวกเราภูมิใจจัง
ส่วนกระดุมเม็ดที่เหลือ
ฉันเป็นคนช่วยติดให้
วันนี้พวกเราพากันไปปั่นจักรยาน
ในสวนสาธารณะใกล้บ้าน
เอสชอบปั่นจักรยานมาก หัวเราะเอิ๊กอ๊าก
ทุกคนเห็นแล้วก็หัวเราะตาม
ไม่บ่อยหรอกนะที่เอสจะเป็นแบบนี้
ฉันว่าเอสเก่งขึ้นเยอะเลย
เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้แล้ว
ฉันคิดว่าเอสก็มีมุมน่ารักเยอะนะ
แถมยังดีขึ้นทุกวัน
พ่อกับแม่ก็ดูสบายใจขึ้นมาก
เมื่อคืนฉันเผลอหลับไปคาไดอารี่ตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้
เช้านี้ฉันบอกลากอไผ่ แล้วเดินทางกลับบ้าน
แต่ทำไมถึงรู้สึกว่าบ้านอยู่ไกลจังนะ
ทั้ง ๆ ที่อยู่แค่ซอยถัดไปนี้เอง
อยากกลับไปหาทุกคนแล้ว…
เมื่อถึงบ้าน เปิดประตูเข้าไป
ก็เห็นเอสกำลังถามแม่ซ้ำ ๆ ว่า
“พี่วีอยู่ไหน อยู่ไหน อยู่ไหน”
ฉันรู้ว่าที่เอสถามแม่ซ้ำ ๆ แบบนี้
เป็นเพราะว่า เอสกำลังคิดถึงฉันมาก
เหมือนอย่างที่ฉันก็คิดถึงเอสมากเหมือนกัน
ฉันจึงรีบเข้าไปจับตัวเอสให้หันมาสบตา
ฉันกอดเอสเบา ๆ
แต่เอสกอดฉันแน่นมาก
“พี่วีกลับมาแล้วนะ” ฉันพูด
“พี่วีกลับมาแล้ว กลับมาแล้ว กลับแล้ว”
เอสพูดซ้ำไปมาอยู่อย่างนั้น
ฉันรู้ว่าน้องต้องดีใจมากแน่ ๆ ที่ฉันกลับมา
“ใช่ พี่วีกลับมาแล้ว”
พ่อพูดกับเอส แล้วเดินเข้ามาโอบฉัน
“เมื่อวานน้องเอาแต่ถาม พี่วีไม่อยู่บ้านเหรอ
สงสัยจะคิดถึงวี” พ่อบอก
“วีกินข้าวมาหรือยัง หิวไหม”
แม่ถามฉัน แถมเตรียมอาหารที่ชอบไว้เต็มโต๊ะเลย
ฉันรู้สึกดีจัง
ระหว่างกินข้าว ฉันเล่าเรื่องตอนไปบ้านกอไผ่ให้ฟัง
แล้วอวดรูปถ่ายโมเดลระบบสุริยะให้ทุกคนดูด้วย
แม่ชมว่าฉันใจเย็น และรับผิดชอบงานได้ดีมาก
“ลูกพ่อเก่งขนาดนี้แล้วเหรอเนี่ย” พ่อชมฉันพร้อมยกนิ้วโป้งให้
“ดาวเสาร์ ดาวเสาร์ พี่วีเก่ง พี่วีเก่ง” เอสส่งเสียงเมื่อเห็นรูป
ในมือถือของฉัน พร้อมยกนิ้วโป้งตามพ่อ
“เพราะมีเอสให้ดูแลไง พี่วีถึงเก่งได้ขนาดนี้”
ฉันทำทีเท้าเอว แต่เก๊กได้แป๊บเดียว
ก็หลุดหัวเราะออกมา จนพ่อกับแม่หัวเราะตาม
วันนี้ดีที่สุดเลย อาหารก็อร่อย
มีแต่ของโปรดฉันทั้งนั้น ฉันรู้สึกเป็นคนสำคัญ
ถึงเอสจะไม่พูดคำว่าคิดถึง แต่ฉันก็รู้ว่าเอสก็คิดถึงฉันมาก
และพ่อแม่ยังชมว่าฉันนั้น ‘เก่งสุดยอด’
ฉันไม่รู้สึกน้อยใจแล้วล่ะ