วันหนึ่งบนโต๊ะอาหารในเวลาหลังเลิกเรียน คุณพ่อ คุณแม่ พี่ตะวัน และ
จันทร์เจ้ากำลังกินอาหารร่วมกันอยู่
“พรุ่งนี้พ่อกับแม่ต้องไปร่วมงานทำบุญขึ้นบ้านใหม่ที่ต่างจังหวัดทั้งวัน
ตะวันกับจันทร์เจ้าอยู่กับพี่เมย์นะลูก” คุณพ่อบอก
“พี่เมย์ลูกของคุณป้าปลาย ตอนนี้กำลังเรียนครูอยู่ที่มหาวิทยาลัยน่ะ”
แม่พูดเสริมว่า “พี่เมย์ใจดี แต่ตะวันกับจันทร์เจ้าต้องเชื่อฟังพี่เมย์นะ”
“ได้ค่ะ” ตะวันกับจันทร์เจ้าขานรับพร้อมกัน
เมื่อกินอาหารเสร็จ คุณพ่อช่วยล้างจาน คุณแม่พาพี่ตะวันไป
ทำการบ้าน ในขณะที่จันทร์เจ้าแยกไปทำการบ้านคนเดียว
ส่วนคุณแม่มานั่งกำกับให้พี่ตะวันทำการบ้านให้เสร็จ
เพราะพี่ตะวันมักจะลืมทำการบ้าน ลืมวิธีการทำที่ครูเคยสอน
หรือถ้าทำการบ้านเสร็จ แต่ก็เขียนหนังสือไม่เรียบร้อย
ทำการบ้านคณิตศาสตร์ก็ผิดๆ ถูกๆ เพราะรีบทำ
ไม่ยอมตรวจทาน
พ่อจัดมุมหนึ่งของห้องสำหรับให้พี่ตะวันนั่ง
ทำการบ้าน จะต้องเงียบ แม้ว่าจันทร์เจ้าจะ
ทำงานของตนเสร็จแล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถ
เปิดทีวีดูการ์ตูนได้ เพื่อไม่ให้รบกวนพี่ตะวัน
เพราะพี่ตะวันต้องการสมาธิและต้องไม่ให้มีสิ่ง
ใดมารบกวนสมาธิพี่ตะวันให้มากที่สุด
พอจันทร์เจ้าจะขออนุญาต
พ่อกับแม่ออกไปเล่นกับ
เพื่อนข้างบ้านในระหว่าง
รอพี่ตะวันทำงาน
พี่ตะวันก็ไม่ยอม
โวยวายว่าทำไมไม่รอไปเล่น
พร้อมกันและพาลจะหยุด
ทำการบ้าน
จนแม่ต้องบอก
ให้จันทร์เจ้ารอพี่ตะวันก่อน
จันทร์เจ้ารู้สึกว่าไม่ยุติธรรมเลย
แต่ก็เก็บความรู้สึกไว้ในใจ
เช้าวันรุ่งขึ้น ตะวันและจันทร์เจ้าตื่น
ขึ้นมาด้วยกลิ่นหอมของอาหาร
สองพี่น้องรีบอาบน้ำแต่งตัว
เพื่อจะลงไปชั้นล่าง
เมื่อเดินลงมาชั้นล่างก็พบคนที่
คุณพ่อคุณแม่พูดถึงเมื่อวาน
คือพี่เมย์นั่นเอง
พี่เมย์กำลังทำอาหารอยู่ ใช้เวลาไม่นานก็เสร็จ
เป็นอาหารที่พี่ตะวันกับจันทร์เจ้าชอบทั้งนั้นเลย
พี่ตะวันกระโดดโลดเต้น
จันทร์เจ้ายิ้มกว้าง
ทุกคนกินอาหารมื้อเช้ากัน เมื่อจันทร์เจ้าชมว่า
อร่อย พี่เมย์ก็บอกว่าวันหลังจะสอนทำอาหารให้ด้วย
พี่เมย์ใจดีอย่างที่คุณพ่อคุณแม่บอกเลย
ทุกวันหลังมื้ออาหารเช้า พี่ตะวันจะกินยา จันทร์
เจ้าเคยได้ยินคุณหมอบอกว่า
จะช่วยให้พี่ตะวันสามารถควบคุมตัวเองได้ดีขึ้น
มีสมาธิยาวนานขึ้น เพราะยาจะไปกระตุ้นให้
สมองหลั่งสารเคมีธรรมชาติออกมามากขึ้นใน
ระดับที่เด็กปกติควรจะมี
แต่พี่ตะวันไม่ชอบกินยานัก
“ไม่อยากกินยาเลย!” พี่ตะวันทำหน้านิ่ว
“ฮึ้บ!” จันทร์เจ้าส่งเสียงช่วยจนพี่ตะวันกินยาเสร็จ
จันทร์เจ้ารู้เสมอว่าพี่ตะวันก็พยายาม
จันทร์เจ้าคิดว่าพี่ตะวันก็คงอยากดีขึ้นเหมือนกัน
เมื่อกินยาเสร็จ พี่เมย์บอกว่าวันนี้เราจะไป
พิพิธภัณฑ์และไปสวนสาธารณะ
โดยมีข้อแม้ว่าจันทร์เจ้าและตะวันต้องเชื่อฟังพี่เมย์
เพราะการออกไปนอกบ้านมีผู้คนมากมายและ
เป็นสถานที่ที่เราไม่คุ้ยเคย ต้องอยู่ใกล้พี่เมย์ไว้
และช่วยดูแลกันและกัน
ก่อนก้าวเท้าออกจากบ้าน เราไม่ลืมที่จะทบทวน
ของที่ต้องนำติดตัว และห้ามลืมนำกลับมา
ซึ่งคุณแม่เขียนแปะไว้ให้เราที่หน้าประตูแล้ว
“กระติกน้ำ” พี่ตะวันถาม
จันทร์เจ้าขานรับ“พร้อม!”
“ยา” จันทร์เจ้าถาม
พี่ตะวันก็ขานรับ“พร้อม!”
เราผลัดกันช่วยเช็ค
ของตามรายการของคุณแม่
จนครบ
สถานที่แรก พี่เมย์พาเราไปที่พิพิธภัณฑ์
ที่นี่มีของให้ดูเยอะแยะเลย
มีรูปปั้นฟาโรห์ที่พี่ตะวันสนใจ
มีรูปปั้นมนุษย์ยุคหินด้วยนะ!
สองพี่น้องเดินไปรอบ ๆ อย่างตื่นเต้น
พวกเราแวะร้านขายของฝาก
ขณะที่เราซื้อของกันอยู่
พี่ตะวันพยายามจะหยิบของเล่นที่อยู่ข้างบน
ฮึ่บบ พี่ตะวันหยิบไม่ถึงสักที
จึงปีนชั้นวางของ
เพื่อจะไปหยิบของที่ตนเองต้องการ
โครม! เสียงของเล่นหล่นกระจาย
คนในร้านหันมามองที่ตะวันและจันทร์เจ้า
จันทร์เจ้าตกใจ และรู้สึกอาย
พี่ตะวันก็ตกใจเช่นกัน
เพราะไม่คิดว่าตนเอง
จะทำให้ของตกลงมาเกลื่อนเช่นนี้
“ทำยังไงดีนะ” จันทร์เจ้านึก
ทุกครั้งที่อยู่ในสถานการณ์เช่นนี้
จันทร์เจ้ารู้สึกหนักใจและคิดว่าตน
ต้องมีส่วนรับผิดชอบการกระทำของพี่สาว
จันทร์เจ้ารีบก้มลงเก็บของที่หล่นบนพื้นอย่างร้อน
ใจเพราะเกรงว่าจะมีใครมาว่าพี่ตะวัน จันทร์เจ้า
น้ำตาคลอเพราะทั้งโกรธพี่สาวและทั้งรู้สึกอาย
พอพี่ตะวันเห็นจันทร์เจ้าเก็บของที่ตนเองทำตก ก็
รีบช่วยจันทร์เจ้าเก็บของให้เข้าที่ พลางบ่นว่า
“ทำไมร้านจึงวางของสูงจัง ใครจะหยิบถึง”
“โทษคนอื่นอีกแหนะ” จันทร์เจ้าคิด
พี่เมย์เดินเข้ามาช่วย
สองพี่น้องเก็บของ
และสอนให้ตะวันพูด
ขอโทษเจ้าของร้าน
“ขอโทษที่หนูทำของตกค่ะ” พี่ตะวันบอกกับ
เจ้าของร้าน เจ้าของร้านยิ้มรับอย่างใจเย็น
“ไม่เป็นไรครับ”
เจ้าของร้านสังเกตเห็นเข็มกลัดฟาโรห์ของพี่
ตะวัน จึงชวนพี่ตะวันคุยเกี่ยวกับเรื่องนั้นอย่าง
ถูกคอและพบว่าพี่ตะวันอธิบายได้เก่งมาก
พี่ตะวันผ่อนคลายขึ้นแล้ว
เมื่อพี่เมย์สังเกตเห็นว่าตะวันอารมณ์ดีแล้ว ก็ชวนจันทร์เจ้าและ
ตะวันทวนข้อตกลงในการออกมาเที่ยวนอกบ้านอีกครั้ง
และให้ตะวันเล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในร้านขายของที่ระลึกว่า
เกิดขึ้นได้อย่างไร ตะวันเล่าเหตุการณ์ตามความเป็นจริง
พี่เมย์ถามตะวันว่า “ถ้าตะวันไม่ปีนชั้นวางของ
จะใช้วิธีใดเพื่อจะให้ได้ของบนชั้นสูงๆ”
ตะวันตอบว่า “ไปขอให้ผู้ใหญ่ช่วยหยิบให้
หรือไปบอกเจ้าของร้านก็ได้ค่ะ”
ตะวันสำนึกผิดที่ทำอะไรโดยไม่ได้ยั้งคิดถึงผลที่ตามมา
โครม! เสียงของเล่นหล่นกระจาย
คนในร้านหันมามองที่ตะวันและจันทร์เจ้า
อากาศวันนี้ค่อนข้างร้อน จันทร์เจ้าสั่งไอศกรีม
1 ถ้วย พี่ตะวันก็จะสั่งไอศกรีม 1 ถ้วยบ้าง
แต่โควต้ากินไอศกรีมในอาทิตย์นี้ของพี่ตะวันหมดแล้วนี่นา
พี่ตะวันกอดอกหายใจฟึดฟัดและพยายามต่อรอง
แต่พี่เมย์ก็ยืนยันคำเดิม พี่ตะวันปัดกล่องทิชชู่และสิ่งของบนโต๊ะ
“โอ้ย!” มือพี่ตะวันพลาดมาตีโดนจันทร์เจ้าด้วย
“โอย ทำยังไงดีนะ” จันทร์เจ้าพยายามคิดแก้ปัญหา
เพื่อไม่ให้พี่ตะวันอาละวาด
พี่เมย์ส่งสายตาให้จันทร์เจ้าขยับออกห่างจากพี่ตะวัน
พี่เมย์สลับเข้าไปแทน
พี่เมย์ไม่แสดงท่าทางโอ๋หรือหงุดหงิดไปตามพฤติกรรมของตะวัน
แล้วถามพวกเราด้วยเสียงเรียบๆ แต่จริงจังว่า “หลังจากกินข้าว
เสร็จ เราอยากจะไปขี่จักรยานที่สวนสาธารณะกันอยู่ไหม”
“จะไป!” ตะวันรีบตอบ
“ตะวันอยากไปค่ะ”
ตะวันตอบด้วยเสียงอ่อนลง
“แล้วจำข้อตกลงของเราได้ไหมว่าต้องปฏิบัติตัวอย่างไร
ตะวันทำตามที่เราตกลงกันหรือเปล่าคะ” พี่เมย์ถามตะวัน
ครู่หนึ่งพี่ตะวันจึงค่อยๆ หยุดฟึดฟัดลง “ตะวันก็อยากปั่น
จักรยานค่ะ ขอโทษค่ะพี่เมย์”
พี่เมย์ชวนพี่ตะวันหาวิธีจัดการกับอารมณ์โกรธหรือไม่พอใจ
ด้วยวิธีง่ายๆ เช่น นับเลขในใจ ฟังเพลงที่ชอบ ร้องเพลงสนุกๆ แทน
เพราะตะวันก็คงไม่อยากเผลอตีโดนน้องอีก
ตะวันสบตาจันทร์เจ้าและพยักหน้าเหมือนจะสื่อว่า
“ขอโทษนะจันทร์เจ้า”
ตอนเย็นเราไปเดินเล่นที่สวนสาธารณะ
พี่เมย์ปูเสื่อใต้ร่มไม้ อากาศดีและ
มีหินกรวดสวยๆ ตรงริมบึงเยอะแยะเลย
เมย์ พี่ตะวันกับจันทร์เจ้า
เช่าจักรยานในสวน
มาปั่นกันคนละคัน
แก่กๆๆ
เสียงอะไรน่ะ อ้ะ จักรยานของพี่ตะวันโซ่หลุด
พี่ตะวันกวักมือผล็อยๆ เรียกให้จันทร์เจ้าและพี่เมย์เข้าไปหา
พี่ตะวันบุ้ยปากไปทางโซ่ ยืนครุ่นคิดว่าจะทำอย่างไรดี
“ตรงนี้ก็ไกลจากร้านเช่าจักรยาน
พอสมควรนะ” พี่เมย์แสดงความเห็น
“เดี๋ยวพี่เมย์จะจูงจักรยานกลับไปที่
ร้านเพื่อเปลี่ยนคันใหม่ให้นะ
ตะวันกันจันทร์เจ้าขี่จักรยานเล่น
แถวนี้ก่อน” พี่เมย์เสนอวิธีแก้ปัญหา
“หนูจะลองใส่โซ่เองดู เคยเป็นลูกมือช่วยคุณพ่อ
ซ่อมจักรยานที่บ้านค่ะ” พี่ตะวันพูดอย่างจริงจัง
ไม่นานนักจักรยานก็กลับมาปั่นได้อีกครั้ง
“ตะวันเก่งมากเลย” พี่เมย์ชื่นชมตะวัน โดยมีจันทร์
เจ้ากระโดดปรบมือให้พี่จันทร์เจ้าอยู่ข้างๆ
ตะวันยิ้มกว้างอย่างภาคภูมิใจ
พี่ตะวันสนใจและมักเพลิดเพลิน
กับการซ่อมของแบบนี้เสมอ
เมื่อของเล่นของจันทร์เจ้าพัง
พี่ตะวันก็พยายามซ่อมให้ทุกครั้ง
จันทร์เจ้าคิดว่าพี่สาวของเราเก่งจัง
พี่ตะวันมักมีวิธีในการแก้ป้ญหาที่
บางครั้งจันทร์เจ้าคิดไม่ถึง
พวกเรากลับถึงบ้าน
ก่อนพ่อแม่ถึงบ้านไม่นาน
วันนี้เป็นวันที่วุ่นวาย
แต่จันทร์เจ้าก็รู้สึกสนุกมาก
ก่อนนอน แม่เข้ามาหาจันทร์
เจ้าและชวนคุยเรื่องนั้นเรื่องนี้
จันทร์เจ้าเล่าเรื่องสนุกๆ ที่
โรงเรียน และปรึกษาเรื่องเพื่อนๆ
แม่ยังบอกว่า พี่เมย์เล่าเหตุการณ์ในวัน
นี้ให้พ่อกับแม่ฟังแล้ว
คุณแม่อธิบายให้ฟังว่า “ภาวะสมาธิสั้นทำให้พี่ตะวันควบคุมตัวเองยาก
อยู่นิ่งๆ ไม่ค่อยได้ เหมือนรถแข่งที่เร็วมากๆ แต่เบรคไม่ค่อยดี เห็นป้ายเตือน
ให้หยุด ก็ยากที่จะชะลอให้ช้าลงได้ทัน”
พี่เมย์ถามตะวันว่า “ถ้าตะวันไม่ปีนชั้นวางของ
จะใช้วิธีใดเพื่อจะให้ได้ของบนชั้นสูงๆ”
ตะวันตอบว่า “ไปขอให้ผู้ใหญ่ช่วยหยิบให้
หรือไปบอกเจ้าของร้านก็ได้ค่ะ”
ตะวันสำนึกผิดที่ทำอะไรโดยไม่ได้ยั้งคิดถึงผลที่ตามมา
จันทร์เจ้านอนหลับตานึกถึงภาพที่พี่ตะวันกับจันทร์เจ้า
เล่นด้วยกัน หัวเราะด้วยกัน ทะเลาะกันบ้าง สนใจกัน
คนละเรื่องบ้าง แต่ก็ยังห่วงใย และคอยช่วยเหลือกันเสมอ
วันหนึ่งบนโต๊ะอาหารในเวลาหลังเลิกเรียน คุณพ่อ คุณแม่ พี่ตะวัน และ
จันทร์เจ้ากำลังกินอาหารร่วมกันอยู่
“พรุ่งนี้พ่อกับแม่ต้องไปร่วมงานทำบุญขึ้นบ้านใหม่ที่ต่างจังหวัดทั้งวัน
ตะวันกับจันทร์เจ้าอยู่กับพี่เมย์นะลูก” คุณพ่อบอก
“พี่เมย์ลูกของคุณป้าปลาย ตอนนี้กำลังเรียนครูอยู่ที่มหาวิทยาลัยน่ะ”
แม่พูดเสริมว่า “พี่เมย์ใจดี แต่ตะวันกับจันทร์เจ้าต้องเชื่อฟังพี่เมย์นะ”
“ได้ค่ะ” ตะวันกับจันทร์เจ้าขานรับพร้อมกัน
เมื่อกินอาหารเสร็จ คุณพ่อช่วยล้างจาน คุณแม่พาพี่ตะวันไป
ทำการบ้าน ในขณะที่จันทร์เจ้าแยกไปทำการบ้านคนเดียว
ส่วนคุณแม่มานั่งกำกับให้พี่ตะวันทำการบ้านให้เสร็จ
เพราะพี่ตะวันมักจะลืมทำการบ้าน ลืมวิธีการทำที่ครูเคยสอน
หรือถ้าทำการบ้านเสร็จ แต่ก็เขียนหนังสือไม่เรียบร้อย
ทำการบ้านคณิตศาสตร์ก็ผิดๆ ถูกๆ เพราะรีบทำ
ไม่ยอมตรวจทาน
พ่อจัดมุมหนึ่งของห้องสำหรับให้พี่ตะวันนั่ง
ทำการบ้าน จะต้องเงียบ แม้ว่าจันทร์เจ้าจะ
ทำงานของตนเสร็จแล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถ
เปิดทีวีดูการ์ตูนได้ เพื่อไม่ให้รบกวนพี่ตะวัน
เพราะพี่ตะวันต้องการสมาธิและต้องไม่ให้มีสิ่ง
ใดมารบกวนสมาธิพี่ตะวันให้มากที่สุด
พอจันทร์เจ้าจะขออนุญาต
พ่อกับแม่ออกไปเล่นกับ
เพื่อนข้างบ้านในระหว่าง
รอพี่ตะวันทำงาน
พี่ตะวันก็ไม่ยอม
โวยวายว่าทำไมไม่รอไปเล่น
พร้อมกันและพาลจะหยุด
ทำการบ้าน
จนแม่ต้องบอก
ให้จันทร์เจ้ารอพี่ตะวันก่อน
จันทร์เจ้ารู้สึกว่าไม่ยุติธรรมเลย
แต่ก็เก็บความรู้สึกไว้ในใจ
เช้าวันรุ่งขึ้น ตะวันและจันทร์เจ้าตื่น
ขึ้นมาด้วยกลิ่นหอมของอาหาร
สองพี่น้องรีบอาบน้ำแต่งตัว
เพื่อจะลงไปชั้นล่าง
เมื่อเดินลงมาชั้นล่างก็พบคนที่
คุณพ่อคุณแม่พูดถึงเมื่อวาน
คือพี่เมย์นั่นเอง
พี่เมย์กำลังทำอาหารอยู่ ใช้เวลาไม่นานก็เสร็จ
เป็นอาหารที่พี่ตะวันกับจันทร์เจ้าชอบทั้งนั้นเลย
พี่ตะวันกระโดดโลดเต้น
จันทร์เจ้ายิ้มกว้าง
ทุกคนกินอาหารมื้อเช้ากัน เมื่อจันทร์เจ้าชมว่า
อร่อย พี่เมย์ก็บอกว่าวันหลังจะสอนทำอาหารให้ด้วย
พี่เมย์ใจดีอย่างที่คุณพ่อคุณแม่บอกเลย
ทุกวันหลังมื้ออาหารเช้า พี่ตะวันจะกินยา จันทร์
เจ้าเคยได้ยินคุณหมอบอกว่า
จะช่วยให้พี่ตะวันสามารถควบคุมตัวเองได้ดีขึ้น
มีสมาธิยาวนานขึ้น เพราะยาจะไปกระตุ้นให้
สมองหลั่งสารเคมีธรรมชาติออกมามากขึ้นใน
ระดับที่เด็กปกติควรจะมี
แต่พี่ตะวันไม่ชอบกินยานัก
“ไม่อยากกินยาเลย!” พี่ตะวันทำหน้านิ่ว
“ฮึ้บ!” จันทร์เจ้าส่งเสียงช่วยจนพี่ตะวันกินยาเสร็จ
จันทร์เจ้ารู้เสมอว่าพี่ตะวันก็พยายาม
จันทร์เจ้าคิดว่าพี่ตะวันก็คงอยากดีขึ้นเหมือนกัน
เมื่อกินยาเสร็จ พี่เมย์บอกว่าวันนี้เราจะไป
พิพิธภัณฑ์และไปสวนสาธารณะ
โดยมีข้อแม้ว่าจันทร์เจ้าและตะวันต้องเชื่อฟังพี่เมย์
เพราะการออกไปนอกบ้านมีผู้คนมากมายและ
เป็นสถานที่ที่เราไม่คุ้ยเคย ต้องอยู่ใกล้พี่เมย์ไว้
และช่วยดูแลกันและกัน
ก่อนก้าวเท้าออกจากบ้าน เราไม่ลืมที่จะทบทวน
ของที่ต้องนำติดตัว และห้ามลืมนำกลับมา
ซึ่งคุณแม่เขียนแปะไว้ให้เราที่หน้าประตูแล้ว
“กระติกน้ำ” พี่ตะวันถาม
จันทร์เจ้าขานรับ“พร้อม!”
“ยา” จันทร์เจ้าถาม
พี่ตะวันก็ขานรับ“พร้อม!”
เราผลัดกันช่วยเช็ค
ของตามรายการของคุณแม่
จนครบ
สถานที่แรก พี่เมย์พาเราไปที่พิพิธภัณฑ์
ที่นี่มีของให้ดูเยอะแยะเลย
มีรูปปั้นฟาโรห์ที่พี่ตะวันสนใจ
มีรูปปั้นมนุษย์ยุคหินด้วยนะ!
สองพี่น้องเดินไปรอบ ๆ อย่างตื่นเต้น
พวกเราแวะร้านขายของฝาก
ขณะที่เราซื้อของกันอยู่
พี่ตะวันพยายามจะหยิบของเล่นที่อยู่ข้างบน
ฮึ่บบ พี่ตะวันหยิบไม่ถึงสักที
จึงปีนชั้นวางของ
เพื่อจะไปหยิบของที่ตนเองต้องการ
โครม! เสียงของเล่นหล่นกระจาย
คนในร้านหันมามองที่ตะวันและจันทร์เจ้า
จันทร์เจ้าตกใจ และรู้สึกอาย
พี่ตะวันก็ตกใจเช่นกัน
เพราะไม่คิดว่าตนเอง
จะทำให้ของตกลงมาเกลื่อนเช่นนี้
“ทำยังไงดีนะ” จันทร์เจ้านึก
ทุกครั้งที่อยู่ในสถานการณ์เช่นนี้
จันทร์เจ้ารู้สึกหนักใจและคิดว่าตน
ต้องมีส่วนรับผิดชอบการกระทำของพี่สาว
จันทร์เจ้ารีบก้มลงเก็บของที่หล่นบนพื้นอย่างร้อน
ใจเพราะเกรงว่าจะมีใครมาว่าพี่ตะวัน จันทร์เจ้า
น้ำตาคลอเพราะทั้งโกรธพี่สาวและทั้งรู้สึกอาย
พอพี่ตะวันเห็นจันทร์เจ้าเก็บของที่ตนเองทำตก ก็
รีบช่วยจันทร์เจ้าเก็บของให้เข้าที่ พลางบ่นว่า
“ทำไมร้านจึงวางของสูงจัง ใครจะหยิบถึง”
“โทษคนอื่นอีกแหนะ” จันทร์เจ้าคิด
พี่เมย์เดินเข้ามาช่วย
สองพี่น้องเก็บของ
และสอนให้ตะวันพูด
ขอโทษเจ้าของร้าน
“ขอโทษที่หนูทำของตกค่ะ” พี่ตะวันบอกกับ
เจ้าของร้าน เจ้าของร้านยิ้มรับอย่างใจเย็น
“ไม่เป็นไรครับ”
เจ้าของร้านสังเกตเห็นเข็มกลัดฟาโรห์ของพี่
ตะวัน จึงชวนพี่ตะวันคุยเกี่ยวกับเรื่องนั้นอย่าง
ถูกคอและพบว่าพี่ตะวันอธิบายได้เก่งมาก
พี่ตะวันผ่อนคลายขึ้นแล้ว
เมื่อพี่เมย์สังเกตเห็นว่าตะวันอารมณ์ดีแล้ว ก็ชวนจันทร์เจ้าและ
ตะวันทวนข้อตกลงในการออกมาเที่ยวนอกบ้านอีกครั้ง
และให้ตะวันเล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในร้านขายของที่ระลึกว่า
เกิดขึ้นได้อย่างไร ตะวันเล่าเหตุการณ์ตามความเป็นจริง
พี่เมย์ถามตะวันว่า “ถ้าตะวันไม่ปีนชั้นวางของ
จะใช้วิธีใดเพื่อจะให้ได้ของบนชั้นสูงๆ”
ตะวันตอบว่า “ไปขอให้ผู้ใหญ่ช่วยหยิบให้
หรือไปบอกเจ้าของร้านก็ได้ค่ะ”
ตะวันสำนึกผิดที่ทำอะไรโดยไม่ได้ยั้งคิดถึงผลที่ตามมา
โครม! เสียงของเล่นหล่นกระจาย
คนในร้านหันมามองที่ตะวันและจันทร์เจ้า
อากาศวันนี้ค่อนข้างร้อน จันทร์เจ้าสั่งไอศกรีม
1 ถ้วย พี่ตะวันก็จะสั่งไอศกรีม 1 ถ้วยบ้าง
แต่โควต้ากินไอศกรีมในอาทิตย์นี้ของพี่ตะวันหมดแล้วนี่นา
พี่ตะวันกอดอกหายใจฟึดฟัดและพยายามต่อรอง
แต่พี่เมย์ก็ยืนยันคำเดิม พี่ตะวันปัดกล่องทิชชู่และสิ่งของบนโต๊ะ
“โอ้ย!” มือพี่ตะวันพลาดมาตีโดนจันทร์เจ้าด้วย
“โอย ทำยังไงดีนะ” จันทร์เจ้าพยายามคิดแก้ปัญหา
เพื่อไม่ให้พี่ตะวันอาละวาด
พี่เมย์ส่งสายตาให้จันทร์เจ้าขยับออกห่างจากพี่ตะวัน
พี่เมย์สลับเข้าไปแทน
พี่เมย์ไม่แสดงท่าทางโอ๋หรือหงุดหงิดไปตามพฤติกรรมของตะวัน
แล้วถามพวกเราด้วยเสียงเรียบๆ แต่จริงจังว่า “หลังจากกินข้าว
เสร็จ เราอยากจะไปขี่จักรยานที่สวนสาธารณะกันอยู่ไหม”
“จะไป!” ตะวันรีบตอบ
“ตะวันอยากไปค่ะ”
ตะวันตอบด้วยเสียงอ่อนลง
“แล้วจำข้อตกลงของเราได้ไหมว่าต้องปฏิบัติตัวอย่างไร
ตะวันทำตามที่เราตกลงกันหรือเปล่าคะ” พี่เมย์ถามตะวัน
ครู่หนึ่งพี่ตะวันจึงค่อยๆ หยุดฟึดฟัดลง “ตะวันก็อยากปั่น
จักรยานค่ะ ขอโทษค่ะพี่เมย์”
พี่เมย์ชวนพี่ตะวันหาวิธีจัดการกับอารมณ์โกรธหรือไม่พอใจ
ด้วยวิธีง่ายๆ เช่น นับเลขในใจ ฟังเพลงที่ชอบ ร้องเพลงสนุกๆ แทน
เพราะตะวันก็คงไม่อยากเผลอตีโดนน้องอีก
ตะวันสบตาจันทร์เจ้าและพยักหน้าเหมือนจะสื่อว่า
“ขอโทษนะจันทร์เจ้า”
ตอนเย็นเราไปเดินเล่นที่สวนสาธารณะ
พี่เมย์ปูเสื่อใต้ร่มไม้ อากาศดีและ
มีหินกรวดสวยๆ ตรงริมบึงเยอะแยะเลย
เมย์ พี่ตะวันกับจันทร์เจ้า
เช่าจักรยานในสวน
มาปั่นกันคนละคัน
แก่กๆๆ
เสียงอะไรน่ะ อ้ะ จักรยานของพี่ตะวันโซ่หลุด
พี่ตะวันกวักมือผล็อยๆ เรียกให้จันทร์เจ้าและพี่เมย์เข้าไปหา
พี่ตะวันบุ้ยปากไปทางโซ่ ยืนครุ่นคิดว่าจะทำอย่างไรดี
“ตรงนี้ก็ไกลจากร้านเช่าจักรยาน
พอสมควรนะ” พี่เมย์แสดงความเห็น
“เดี๋ยวพี่เมย์จะจูงจักรยานกลับไปที่
ร้านเพื่อเปลี่ยนคันใหม่ให้นะ
ตะวันกันจันทร์เจ้าขี่จักรยานเล่น
แถวนี้ก่อน” พี่เมย์เสนอวิธีแก้ปัญหา
“หนูจะลองใส่โซ่เองดู เคยเป็นลูกมือช่วยคุณพ่อ
ซ่อมจักรยานที่บ้านค่ะ” พี่ตะวันพูดอย่างจริงจัง
ไม่นานนักจักรยานก็กลับมาปั่นได้อีกครั้ง
“ตะวันเก่งมากเลย” พี่เมย์ชื่นชมตะวัน โดยมีจันทร์
เจ้ากระโดดปรบมือให้พี่จันทร์เจ้าอยู่ข้างๆ
ตะวันยิ้มกว้างอย่างภาคภูมิใจ
พี่ตะวันสนใจและมักเพลิดเพลิน
กับการซ่อมของแบบนี้เสมอ
เมื่อของเล่นของจันทร์เจ้าพัง
พี่ตะวันก็พยายามซ่อมให้ทุกครั้ง
จันทร์เจ้าคิดว่าพี่สาวของเราเก่งจัง
พี่ตะวันมักมีวิธีในการแก้ป้ญหาที่
บางครั้งจันทร์เจ้าคิดไม่ถึง
พวกเรากลับถึงบ้าน
ก่อนพ่อแม่ถึงบ้านไม่นาน
วันนี้เป็นวันที่วุ่นวาย
แต่จันทร์เจ้าก็รู้สึกสนุกมาก
ก่อนนอน แม่เข้ามาหาจันทร์
เจ้าและชวนคุยเรื่องนั้นเรื่องนี้
จันทร์เจ้าเล่าเรื่องสนุกๆ ที่
โรงเรียน และปรึกษาเรื่องเพื่อนๆ
แม่ยังบอกว่า พี่เมย์เล่าเหตุการณ์ในวัน
นี้ให้พ่อกับแม่ฟังแล้ว
คุณแม่อธิบายให้ฟังว่า “ภาวะสมาธิสั้นทำให้พี่ตะวันควบคุมตัวเองยาก
อยู่นิ่งๆ ไม่ค่อยได้ เหมือนรถแข่งที่เร็วมากๆ แต่เบรคไม่ค่อยดี เห็นป้ายเตือน
ให้หยุด ก็ยากที่จะชะลอให้ช้าลงได้ทัน”
พี่เมย์ถามตะวันว่า “ถ้าตะวันไม่ปีนชั้นวางของ
จะใช้วิธีใดเพื่อจะให้ได้ของบนชั้นสูงๆ”
ตะวันตอบว่า “ไปขอให้ผู้ใหญ่ช่วยหยิบให้
หรือไปบอกเจ้าของร้านก็ได้ค่ะ”
ตะวันสำนึกผิดที่ทำอะไรโดยไม่ได้ยั้งคิดถึงผลที่ตามมา
จันทร์เจ้านอนหลับตานึกถึงภาพที่พี่ตะวันกับจันทร์เจ้า
เล่นด้วยกัน หัวเราะด้วยกัน ทะเลาะกันบ้าง สนใจกัน
คนละเรื่องบ้าง แต่ก็ยังห่วงใย และคอยช่วยเหลือกันเสมอ
สวัสดี ฉันชื่อ วี ตอนนี้ฉันตื่นเต้นมาก เพราะพรุ่งนี้ ฉัน
จะได้ไปค้างคืนที่บ้านของกอไผ่เพื่อนสนิทที่สุดของฉัน
เราจะทำงานประดิษฐ์วิชาวิทยาศาสตร์ด้วยกัน
“เอส พรุ่งนี้พี่ไม่อยู่ นอนกับพ่อแม่นะ”
นั่นเอสน้องชายสุดที่รักของฉันเอง
เอสเขาไม่ตอบฉันอีกตามเคย
ฉันก็รู้นะ ว่าการคุยกับเอส
ไม่เหมือนการคุยกับคนอื่น
พูดยาว ๆ รวดเดียวแบบนี้
เอสไม่เข้าใจหรอก
แต่ก็เผลอพูดยาวอยู่เรื่อย
“เฮ้อ”
ฉันต้องเดินไปจับแขนเอส
เพื่อให้เอสรู้สึกตัว
คืนนั้นก่อนนอน ฉันเขียนไดอารี่
ดีใจจังพรุ่งนี้จะได้ไปค้างบ้านกอไผ่เป็นครั้งแรกแล้ว
ฉันไม่ได้เขียนทุกวันหรอกนะ เขียนเฉพาะวันที่สำคัญจริง ๆ
คุณหมอเคยแนะนำให้ฉันเขียนบรรยายความรู้สึกต่าง ๆ
จะดีสุด ๆ หรือแย่สุด ๆ ก็ได้
โดยที่พ่อแม่รับปากฉันกับคุณหมอแล้วว่า
จะไม่เปิดอ่านเด็ดขาด!
ฉันตื่นเต้นที่จะได้ไปบ้านกอไผ่จนนอนไม่หลับ
เลยพลิกอ่านไดอารี่เล่น ๆ
ตอนที่แม่บอกว่า มีน้องอยู่ในท้อง ฉันดีใจมาก
รอจะได้เจอน้องไวๆ จะได้มาเป็นเพื่อนเล่นด้วยกัน
แต่ตอนนี้น้องเอส 3 ขวบแล้ว
น้องยังไม่พูดกับฉันเลย พ่อกับแม่ก็ดูเครียดๆ
คุณหมอบอกว่าเอสเป็นออทิสติก
ฉันก็ไม่ค่อยเข้าใจหรอก
พ่อกับแม่บอกว่า
เอสจะไม่เหมือนกับเด็กคนอื่นนะ
พวกเราต้องช่วยกันดูแลเอสเป็นพิเศษ
จะพิเศษขนาดไหนกันนะ
ฉันไม่รู้ว่าเอสอยากได้อะไร
เพราะเอสไม่พูด ไม่ชี้
พอหยิบมาให้ไม่ถูก เอสก็จะจับโยนทิ้ง
เหมือนทุกคนต้องเล่นเกมเดาใจเอสตลอดเวลา
บางทีก็สนุกดี แต่บางทีก็น่าหงุดหงิด
เอสไม่รู้ว่าอะไรที่ควรหรือไม่ควรเข้าไปยุ่ง
วันนี้เอสเกือบโดนน้ำร่้อนลวกแล้ว
ดีนะที่พ่อเห็นก่อน
ถ้าไม่มีพ่อ แม่ และฉัน
เอสจะทำอย่างไร
วันนี้เอสนั่งจ้องพัดลมทั้งวันเลย
บางทีมันก็น่ากลัวนะ
เอสสนใจเรื่องอวกาศมาก
นั่งอ่านหนังสือเกี่ยวกับดาวได้เป็นชั่วโมงเลย
แม่บอกว่าอนาคต
เอสอาจจะเก่งเรื่องอวกาศมาก ๆ
พ่อกับแม่ซื้อหนังสือกับของเล่น
เกี่ยวกับอวกาศมาให้จนเต็มห้อง
แต่ไม่มีของที่ฉันชอบเลย
วันนี้ฉันเผลอทำ
กระติกน้ำจรวดของเอสแตก
ฉันขอโทษแล้ว
แต่เอสก็ยังโกรธมาก
จนมากัดแขนฉัน
เอสกลายร่างเป็นปีศาจไปแล้ว!
เอสทำตุ๊กตาตัวโปรดของฉันพัง
แต่เอสไม่ขอโทษ
แถมไม่สนใจ
ความรู้สึกของฉันเลยสักนิด
คอยดูเถอะ!
ฉันก็จะไม่สนใจเอสแล้วเหมือนกัน!
เช้านี้วุ่นวายมาก
คุณพ่อต้องเปลี่ยนเส้นทาง
เพราะถนนปิดปรับปรุง
เอสร้องไห้โวยวาย
เพราะไม่ใช่เส้นทางเดิม
ฉันรู้ว่าเอสไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง
แต่มันช่วยไม่ได้นี่นา ทำไมเข้าใจยากจัง
ตอนกลับบ้าน
คุณลุงคนขับรถโรงเรียนตัดผมทรงใหม่
เอสจำไม่ได้ จึงร้องไห้นานมาก
ทำอย่างไรก็ไม่ยอมขึ้นรถ
คนอื่นดูไม่ค่อยพอใจ
ที่ต้องกลับบ้านช้า
เฮ้อ ฉันทั้งเหนื่อย ทั้งอาย
ไม่อยากอยู่ตรงนี้เลย
พ่อแม่ต้องทำงาน และดูแลเอส
ไม่ได้มาเล่นกับฉันเลย
เหงาจัง
เริ่มง่วงแล้ว
ฉันปิดสมุดไดอารี่
ปิดไฟ แล้วจึงเข้านอน
เช้านี้ก่อนไปบ้านกอไผ่
ฉันช่วยแม่จัดโต๊ะอาหาร
“แม่คะ จานสีน้ำเงินของเอสอยู่ไหนคะ”
ฉันหาชุดจานชามประจำตัวของเอสไม่เจอ
“อ๋อ แม่ล้างอยู่จ้ะ” แม่ตอบ
“จานอะพอลโล! อยู่ไหน อยู่ไหน อยู่ไหน”
เอสถามไม่หยุดและทุบโต๊ะเสียงดัง
“รอเดี๋ยวนะจ๊ะ แป๊บเดียวจ้ะ”
แม่รีบล้างจาน แล้วเอาไปให้เอสทันที เพื่อให้เอสสงบลง
“วีล้างจานที่เหลือให้แม่ทีนะลูก แม่ต้องดูน้อง”
“ค่ะ” ฉันก็โดนแบบนี้ทุกทีแหละ
ฉันไหว้แม่ “วีไปแล้วนะคะแม่”
และหันไปบอกเอส “พี่ไปแล้วนะเอส”
แล้วออกมาหาพ่อที่อยู่หน้าบ้าน
“พ่อ พ่อคะ… พ่อ”
ฉันเรียกอยู่นานกว่าพ่อจะหันมา
“หนูไปบ้านกอไผ่แล้วนะคะ”
“ไปดีมาดีนะลูก”
พ่อตอบโดยไม่ละสายตามามองฉันเลย
เพราะมัวแต่คุยกับคุณครูสอนพัฒนาการของเอส
‘เอสอีกแล้ว เอส เอส เอส อะไร ๆ ก็เอส’
เมื่อไปถึงบ้านของกอไผ่
ฉันก็เห็นว่า นอกจากกอไผ่แล้ว
ยังมีคนอื่นยืนรอฉันอยู่หน้าบ้านด้วย
คุณพ่อคุณแม่ของกอไผ่
แล้วก็น้องชายชื่อใบสน
ทุกคนใจดีมาก
ฉันคิดว่าวันนี้จะต้องสนุกแน่ ๆ
ได้มีเวลาส่วนตัวอยู่กับกอไผ่สักที
เพราะปกติที่โรงเรียนเอสจะคอยมากวนอยู่เรื่อย
ฉันกับกอไผ่ขึ้นไปทำงานประดิษฐ์ด้วยกันบนห้อง
“ว้าว ห้องเธอสวยจัง”
ฉันตื่นตาตื่นใจกับห้องของกอไผ่มาก
“ใช่สิ ฉันแต่งห้องเองเลยนะ
สวยใช่ไหมละ” กอไผ่ถาม
“สวยมากเลย ห้องฉันมีแต่ของที่เอสชอบ” ฉันได้แต่ยิ้มแหย
“จริงสิ ฉันลืมไป…” กอไผ่เสียงอ่อย
“เรามาทำงานกันเถอะ!”
ฉันรีบเปลี่ยนเรื่อง
“อื้อ!” กอไผ่พยักหน้ารับ
“โอ้โห สวยจัง!”
กอไผ่ชมฝีมือการต่อโมเดลของฉัน
“พ่อกับแม่เคยซื้อโมเดลแบบนี้ มาตั้งไว้บนหัวเตียง
ฉันเห็นจนจำได้แม่นเลย…เพราะว่าเอสชอบ”
“ยอดเลย แบบนี้งานกลุ่มเราต้องสวยที่สุดในห้องแน่ ๆ ”
กอไผ่ยิ้มดีใจ ฉันเองก็รู้สึกภูมิใจไปด้วย
แต่ทันใดนั้น!
ตึงงง!
ประตูเปิดกระแทกผนังเสียงดังลั่น
เสียงตะโกนของใบสนตามมาติด ๆ
“ฮ่าาา! ก็อตซิลล่ามาแล้ว!! จะพังทุกอย่างให้ราบคาบเลย!!”
ใบสนถือตุ๊กตาก็อตซิลล่า พุ่งใส่โมเดลระบบสุริยะบนโต๊ะ
โครมมม!
“ใบสน!! เล่นแบบนี้อีกแล้วนะ!
งานพี่พังหมดแล้ว! ออกไปเลย!”
กอไผ่โกรธมาก ตะเบ็งเสียงใส่ใบสน
“แบร่~ แบร่~ แบร่~”
ใบสนส่งเสียงล้อเลียนแล้วออกจากห้องไป
ปัง!
กอไผ่ปิดประตูไล่หลังอย่างแรง
“ใบสนนี่พูดไม่รู้เรื่องเลย ก็บอกแล้วนะ ว่าวันนี้จะทำงานกับเพื่อน
ดูสิ! ต้องทำใหม่หมดเลย” กอไผ่ดูหงุดหงิดมาก
“ขอโทษนะวี” กอไผ่ขอโทษฉันด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวเราทำกันใหม่ก็ได้”
ฉันไม่ถือสาใบสนหรอก
“เธอไม่โกรธเลยเหรอ” กอไผ่สงสัย
“ก็โกรธนะ แต่ฉันชินแล้ว
เพราะเอสก็ทำของฉันพังบ่อยเหมือนกัน
แต่ฉันรู้ รู้ว่าเอสไม่ได้ตั้งใจหรอกนะ”
ฉันตอบ
ฉันกับกอไผ่ช่วยกันเก็บชิ้นส่วนโมเดล
ที่ตกกระจายตามพื้น แล้วเริ่มทำกันใหม่ตั้งแต่ต้น
เราทำไป พูดคุยกันไป
จนในที่สุดก็เสร็จ
“เฮ้อ เสร็จสักที!”
กอไผ่ถอนหายใจยาว
ฉันเห็นผลงานแล้วก็อดคิดถึงเอสไม่ได้
‘ถ้าเอสได้มาเห็นต้องชอบมากแน่ ๆ’
“ถ้าใบสนไม่มาพัง คงเสร็จไปนานแล้ว”
กอไผ่ยังหงุดหงิดใบสนไม่หาย
“ไม่เป็นไรนะ อย่างน้อยมันก็เสร็จแล้ว สวยด้วย”
ฉันพยายามพูดปลอบใจ
“เธอพูดเหมือนแม่ฉันเลย เวลาใบสนซนมาก ๆ
แม่ก็ช่วยพูดให้แบบนี้ตลอด” กอไผ่ตอบด้วยน้ำเสียงน้อยใจ
“พ่อแม่เธอก็โอ๋แต่น้องเหมือนกันเหรอ”
ฉันประหลาดใจมาก
ไม่คิดว่ากอไผ่ก็เจอปัญหาเดียวกับฉัน
“ใช่…ถึงจะไม่ทุกครั้งก็เถอะ” กอไผ่ตอบ
“จริงสินะ…ไม่ทุกครั้ง”
ฉันฉุกคิดเมื่อได้ฟังคำตอบของกอไผ่
สองพี่น้อง กอไผ่และใบสน
เดี๋ยวก็ดีกัน เดี๋ยวก็ทะเลาะกัน
จนค่ำจึงค่อยแยกย้ายกันไปนอน
ฉันนอนห้องเดียวกับกอไผ่
ตอนนี้กอไผ่กำลังอ่านหนังสือ
ส่วนฉันกำลังจะเขียนไดอารี่
อยากบันทึกอะไรเก็บไว้สักหน่อยน่ะ
พอไม่ได้นอนกับเอส
ฉันกลับรู้สึกแปลก ๆ
ฉันนอนไม่หลับ
จนต้องลุกขึ้นมาเปิดไดอารี่อ่านอีกครั้ง
เผื่อว่า ‘ความรู้สึกแปลก ๆ’
ในใจจะหายไป…
ฉันแอบมองเอสตอนหลับ
น้องเหมือนเจ้าชายตัวน้อย ๆ เลย
จมูกเล็กกระจิริด
ขนตายาวเหมือนตุ๊กตา
แถมแก้มยังแดง
อย่างกับมะเขือเทศสุก
น่ารักจริง ๆ
ถึงน้องจะยังไม่เล่นกับฉันสักที
แต่ไม่เป็นไรหรอกนะ ฉันว่าฉันรอได้…”
ที่เคยบอกว่า
จะไม่สนใจเอสอีกแล้ว
ฉันทำไม่ได้หรอก
วันนี้มีเด็กที่โรงเรียน
มาล้อท่าทางของเอส
ฉันไม่ชอบเลย
ฉันว่าพวกนั้นกลับไปด้วย
แล้วก็ไปบอกคุณครู
ไม่ต้องห่วงนะเอส
พี่จะปกป้องน้องเอง!
ที่โรงเรียนฉันบ่นเรื่องเอสให้กอไผ่ฟัง
กอไผ่รับฟังและเล่าให้ฉันฟังว่า
น้องของเธอก็ซนเหมือนกัน
ฉันคิดว่ากอไผ่คงแค่อยากปลอบใจฉัน
เธอเป็นเพื่อนที่ดีมาก ๆ เลย
ขอบใจนะ
เอสเรียนพละทุกวันพุธ
ต้องใส่รองเท้าสีขาว
แต่พ่อหยิบรองเท้านักเรียน
สีดำมาวางไว้
เอสโวยวายทันที
วันพุธสีขาว! ไม่ใช่สีดำ!
วันพุธสีขาว!
สีขาว! สีขาว!
พ่อรีบหยิบมาเปลี่ยนด้วยความตกใจ
เห็นแล้วก็ขำท่าทางของพ่อเหมือนกัน
ถึงเอสจะเอะอะเสียงดังจนฉันหนวกหู
แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า
เอสความจำดีมาก
วันนี้เอสเกือบมีเรื่อง
ที่สนามเด็กเล่นแล้ว
เพราะไม่ยอมลุกออกจากม้าโยก
เด็กคนอื่นไม่มีใครเข้าใจ
ว่าทำไมเอสไม่ยอมแบ่งกันเล่น
แต่ฉันเข้าใจนะ
เวลาเอสชอบอะไร
ก็จะเล่นอยู่แบบนั้น
ช่วงนี้ทุกคนเหนื่อยน้อยลง
เพราะพ่อกับแม่ให้ครูสอนพัฒนาการ
มาดูแลเอสในวันเสาร์อาทิตย์
พวกเราต้องเรียนรู้ไปพร้อม ๆ กัน
‘หวังว่าทุกอย่างต่อจากนี้จะดีขึ้นนะ’
วันนี้เอสน่ารักเป็นพิเศษ
คงเป็นเพราะฉันซื้อตุ๊กตาดาวเสาร์มาให้
บางทีเอสก็เหมือนเด็กทั่วไป
พอได้ของที่ชอบก็ทำตัวดีขึ้นมาเลย
วันนี้เอสเอาแต่พูดซ้ำ ๆ เหมือนเดิม
แต่ฉันไม่หงุดหงิดหรอกนะ
เพราะคำที่เอสพูดซ้ำ ๆ
คือคำว่า
ฉันก็รักเอสเหมือนกัน
:)
คืนนี้เราดูการ์ตูน
มนุษย์ต่างดาวตะลุยอวกาศตอนเดิม
วนเป็นรอบที่ร้อยแล้วมั้ง
เอสชอบดูอะไรซ้ำ ๆ
ยิ่งเกี่ยวกับอวกาศยิ่งชอบ
ฉันเบื่อจัง
แต่คงทำอะไรไม่ได้
เพราะเราสัญญากันไว้แล้ว
ว่าจะผลัดกันดู
ฉันแอบมาร้องไห้คนเดียว
แต่พ่อกับแม่มาเห็น
จึงเข้ามากอดฉันแน่นมาก
แล้วถามฉันว่า
เกิดอะไรขึ้นไม่สบายหรือเปล่า
ฉันไม่ได้เป็นอะไรหรอกนะ
แค่น้อยใจ ว่าอะไร ๆ ก็เอส
แต่ฉันไม่ได้ตอบ
เพราะฉันรู้ว่าพ่อแม่ก็รักฉันอยากสนใจฉัน
พ่อกับแม่เหนื่อยที่ต้องดูแลเอสเป็นพิเศษ
แค่พ่อกับแม่มากอดฉัน ฉันก็รู้สึกดีขึ้นแล้ว
ฉัน พ่อและแม่
ฝึกให้เอสติดกระดุมเสื้อนักเรียนเอง
เอสตั้งใจมาก
ไม่โมโห หรืองอแงเลยสักนิด
ในที่สุดเอสก็ติดกระดุมได้หนึ่งเม็ด
พวกเราภูมิใจจัง
ส่วนกระดุมเม็ดที่เหลือ
ฉันเป็นคนช่วยติดให้
วันนี้พวกเราพากันไปปั่นจักรยาน
ในสวนสาธารณะใกล้บ้าน
เอสชอบปั่นจักรยานมาก หัวเราะเอิ๊กอ๊าก
ทุกคนเห็นแล้วก็หัวเราะตาม
ไม่บ่อยหรอกนะที่เอสจะเป็นแบบนี้
ฉันว่าเอสเก่งขึ้นเยอะเลย
เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้แล้ว
ฉันคิดว่าเอสก็มีมุมน่ารักเยอะนะ
แถมยังดีขึ้นทุกวัน
พ่อกับแม่ก็ดูสบายใจขึ้นมาก
เมื่อคืนฉันเผลอหลับไปคาไดอารี่ตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้
เช้านี้ฉันบอกลากอไผ่ แล้วเดินทางกลับบ้าน
แต่ทำไมถึงรู้สึกว่าบ้านอยู่ไกลจังนะ
ทั้ง ๆ ที่อยู่แค่ซอยถัดไปนี้เอง
อยากกลับไปหาทุกคนแล้ว…
เมื่อถึงบ้าน เปิดประตูเข้าไป
ก็เห็นเอสกำลังถามแม่ซ้ำ ๆ ว่า
“พี่วีอยู่ไหน อยู่ไหน อยู่ไหน”
ฉันรู้ว่าที่เอสถามแม่ซ้ำ ๆ แบบนี้
เป็นเพราะว่า เอสกำลังคิดถึงฉันมาก
เหมือนอย่างที่ฉันก็คิดถึงเอสมากเหมือนกัน
ฉันจึงรีบเข้าไปจับตัวเอสให้หันมาสบตา
ฉันกอดเอสเบา ๆ
แต่เอสกอดฉันแน่นมาก
“พี่วีกลับมาแล้วนะ” ฉันพูด
“พี่วีกลับมาแล้ว กลับมาแล้ว กลับแล้ว”
เอสพูดซ้ำไปมาอยู่อย่างนั้น
ฉันรู้ว่าน้องต้องดีใจมากแน่ ๆ ที่ฉันกลับมา
“ใช่ พี่วีกลับมาแล้ว”
พ่อพูดกับเอส แล้วเดินเข้ามาโอบฉัน
“เมื่อวานน้องเอาแต่ถาม พี่วีไม่อยู่บ้านเหรอ
สงสัยจะคิดถึงวี” พ่อบอก
“วีกินข้าวมาหรือยัง หิวไหม”
แม่ถามฉัน แถมเตรียมอาหารที่ชอบไว้เต็มโต๊ะเลย
ฉันรู้สึกดีจัง
ระหว่างกินข้าว ฉันเล่าเรื่องตอนไปบ้านกอไผ่ให้ฟัง
แล้วอวดรูปถ่ายโมเดลระบบสุริยะให้ทุกคนดูด้วย
แม่ชมว่าฉันใจเย็น และรับผิดชอบงานได้ดีมาก
“ลูกพ่อเก่งขนาดนี้แล้วเหรอเนี่ย” พ่อชมฉันพร้อมยกนิ้วโป้งให้
“ดาวเสาร์ ดาวเสาร์ พี่วีเก่ง พี่วีเก่ง” เอสส่งเสียงเมื่อเห็นรูป
ในมือถือของฉัน พร้อมยกนิ้วโป้งตามพ่อ
“เพราะมีเอสให้ดูแลไง พี่วีถึงเก่งได้ขนาดนี้”
ฉันทำทีเท้าเอว แต่เก๊กได้แป๊บเดียว
ก็หลุดหัวเราะออกมา จนพ่อกับแม่หัวเราะตาม
วันนี้ดีที่สุดเลย อาหารก็อร่อย
มีแต่ของโปรดฉันทั้งนั้น ฉันรู้สึกเป็นคนสำคัญ
ถึงเอสจะไม่พูดคำว่าคิดถึง แต่ฉันก็รู้ว่าเอสก็คิดถึงฉันมาก
และพ่อแม่ยังชมว่าฉันนั้น ‘เก่งสุดยอด’
ฉันไม่รู้สึกน้อยใจแล้วล่ะ