วันหนึ่งบนโต๊ะอาหารในเวลาหลังเลิกเรียน
คุณพ่อ คุณแม่ พี่ตะวัน และ จันทร์เจ้ากำลังกินอาหารร่วมกันอยู่
“พรุ่งนี้พ่อกับแม่ต้องไปร่วมงานทำบุญขึ้นบ้านใหม่
ที่ต่างจังหวัดทั้งวัน
ตะวันกับจันทร์เจ้าอยู่กับพี่เมย์นะลูก” คุณพ่อบอก
“พี่เมย์ลูกของคุณป้าปลาย ตอนนี้กำลังเรียนครู
อยู่ที่มหาวิทยาลัยน่ะ” แม่พูดเสริมว่า
“พี่เมย์ใจดี แต่ตะวันกับจันทร์เจ้า
ต้องเชื่อฟังพี่เมย์นะ”
“ได้ค่ะ” ตะวันกับจันทร์เจ้าขานรับพร้อมกัน
เมื่อกินอาหารเสร็จ คุณพ่อช่วยล้างจาน คุณแม่พาพี่ตะวัน
ไปทำการบ้าน ในขณะที่จันทร์เจ้าแยกไปทำการบ้านคนเดียว
ส่วนคุณแม่มานั่งกำกับให้พี่ตะวันทำการบ้านให้เสร็จ
เพราะพี่ตะวันมักจะลืมทำการบ้าน ลืมวิธีการทำที่ครูเคยสอน
หรือถ้าทำการบ้านเสร็จ แต่ก็เขียนหนังสือไม่เรียบร้อย
ทำการบ้านคณิตศาสตร์ก็ผิดๆ ถูกๆ เพราะรีบทำ
ไม่ยอมตรวจทาน
พ่อจัดมุมหนึ่งของห้องสำหรับให้พี่ตะวัน
นั่งทำการบ้านจะต้องเงียบ แม้ว่าจันทร์เจ้าจะทำงาน
ของตนเสร็จแล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถเปิดทีวี
ดูการ์ตูนได้ เพื่อไม่ให้รบกวนพี่ตะวัน เพราะพี่ตะวัน
ต้องการสมาธิและต้องไม่ให้มีสิ่งใดมารบกวนสมาธิ
พี่ตะวันให้มากที่สุด
พอจันทร์เจ้าจะขออนุญาต
พ่อกับแม่ออกไปเล่นกับ
เพื่อนข้างบ้านในระหว่าง
รอพี่ตะวันทำงาน
พี่ตะวันก็ไม่ยอม
โวยวายว่าทำไมไม่รอไปเล่น
พร้อมกันและพาลจะหยุด
ทำการบ้าน
จนแม่ต้องบอก
ให้จันทร์เจ้ารอพี่ตะวันก่อน
จันทร์เจ้ารู้สึกว่าไม่ยุติธรรมเลย
แต่ก็เก็บความรู้สึกไว้ในใจ
เช้าวันรุ่งขึ้น ตะวันและจันทร์เจ้าตื่นขึ้นมา
ด้วยกลิ่นหอมของอาหาร
สองพี่น้องรีบอาบน้ำแต่งตัว
เพื่อจะลงไปชั้นล่าง
เมื่อเดินลงมาชั้นล่างก็พบคนที่
คุณพ่อคุณแม่พูดถึงเมื่อวาน
คือพี่เมย์นั่นเอง
พี่เมย์กำลังทำอาหารอยู่ ใช้เวลาไม่นานก็เสร็จ
เป็นอาหารที่พี่ตะวันกับจันทร์เจ้าชอบทั้งนั้นเลย
พี่ตะวันกระโดดโลดเต้น
จันทร์เจ้ายิ้มกว้าง
ทุกคนกินอาหารมื้อเช้ากัน เมื่อจันทร์เจ้าชมว่าอร่อย
พี่เมย์ก็บอกว่าวันหลังจะสอนทำอาหารให้ด้วย
พี่เมย์ใจดีอย่างที่คุณพ่อคุณแม่บอกเลย
ทุกวันหลังมื้ออาหารเช้า พี่ตะวันจะกินยา
จันทรเจ้าเคยได้ยินคุณหมอบอกว่า
จะช่วยให้พี่ตะวันสามารถควบคุมตัวเองได้ดีขึ้น
มีสมาธิยาวนานขึ้น เพราะยาจะไปกระตุ้นให้
สมองหลั่งสารเคมีธรรมชาติออกมามากขึ้น
ในระดับที่เด็กปกติควรจะมี
แต่พี่ตะวันไม่ชอบกินยานัก
“ไม่อยากกินยาเลย!” พี่ตะวันทำหน้านิ่ว
“ฮึ้บ!” จันทร์เจ้าส่งเสียงช่วยจนพี่ตะวันกินยาเสร็จ
จันทร์เจ้ารู้เสมอว่าพี่ตะวันก็พยายาม
จันทร์เจ้าคิดว่าพี่ตะวันก็คงอยากดีขึ้นเหมือนกัน
เมื่อกินยาเสร็จ พี่เมย์บอกว่าวันนี้เราจะไป
พิพิธภัณฑ์และไปสวนสาธารณะ
โดยมีข้อแม้ว่าจันทร์เจ้าและตะวันต้องเชื่อฟังพี่เมย์
เพราะการออกไปนอกบ้านมีผู้คนมากมายและ
เป็นสถานที่ที่เราไม่คุ้ยเคย ต้องอยู่ใกล้พี่เมย์ไว้
และช่วยดูแลกันและกัน
ก่อนก้าวเท้าออกจากบ้าน เราไม่ลืมที่จะทบทวน
ของที่ต้องนำติดตัว และห้ามลืมนำกลับมา
ซึ่งคุณแม่เขียนแปะไว้ให้เราที่หน้าประตูแล้ว
“กระติกน้ำ” พี่ตะวันถาม
จันทร์เจ้าขานรับ“พร้อม!”
“ยา” จันทร์เจ้าถาม
พี่ตะวันก็ขานรับ“พร้อม!”
เราผลัดกันช่วยเช็ค
ของตามรายการของคุณแม่
จนครบ
สถานที่แรก พี่เมย์พาเราไปที่พิพิธภัณฑ์
ที่นี่มีของให้ดูเยอะแยะเลย
มีรูปปั้นฟาโรห์ที่พี่ตะวันสนใจ
มีรูปปั้นมนุษย์ยุคหินด้วยนะ!
สองพี่น้องเดินไปรอบ ๆ อย่างตื่นเต้น
พวกเราแวะร้านขายของฝาก
ขณะที่เราซื้อของกันอยู่
พี่ตะวันพยายามจะหยิบของเล่นที่อยู่ข้างบน
ฮึ่บบ พี่ตะวันหยิบไม่ถึงสักที
จึงปีนชั้นวางของ
เพื่อจะไปหยิบของที่ตนเองต้องการ
โครม! เสียงของเล่นหล่นกระจาย
คนในร้านหันมามองที่ตะวันและจันทร์เจ้า
จันทร์เจ้าตกใจ และรู้สึกอาย
พี่ตะวันก็ตกใจเช่นกัน
เพราะไม่คิดว่าตนเอง
จะทำให้ของตกลงมาเกลื่อนเช่นนี้
“ทำยังไงดีนะ” จันทร์เจ้านึก
ทุกครั้งที่อยู่ในสถานการณ์เช่นนี้
จันทร์เจ้ารู้สึกหนักใจและคิดว่าตน
ต้องมีส่วนรับผิดชอบการกระทำของพี่สาว
จันทร์เจ้ารีบก้มลงเก็บของที่หล่นบนพื้นอย่างร้อน
ใจเพราะเกรงว่าจะมีใครมาว่าพี่ตะวัน จันทร์เจ้า
น้ำตาคลอเพราะทั้งโกรธพี่สาวและทั้งรู้สึกอาย
พอพี่ตะวันเห็นจันทร์เจ้าเก็บของที่ตนเองทำตก
ก็รีบช่วยจันทร์เจ้าเก็บของให้เข้าที่ พลางบ่นว่า
“ทำไมร้านจึงวางของสูงจัง ใครจะหยิบถึง”
“โทษคนอื่นอีกแหนะ” จันทร์เจ้าคิด
พี่เมย์เดินเข้ามาช่วย
สองพี่น้องเก็บของ
และสอนให้ตะวันพูด
ขอโทษเจ้าของร้าน
“ขอโทษที่หนูทำของตกค่ะ” พี่ตะวันบอกกับ
เจ้าของร้าน เจ้าของร้านยิ้มรับอย่างใจเย็น
“ไม่เป็นไรครับ”
เจ้าของร้านสังเกตเห็นเข็มกลัดฟาโรห์ของ
พี่ตะวัน จึงชวนพี่ตะวันคุยเกี่ยวกับเรื่องนั้น
อย่างถูกคอและพบว่าพี่ตะวันอธิบายได้เก่งมาก
พี่ตะวันผ่อนคลายขึ้นแล้ว
เมื่อพี่เมย์สังเกตเห็นว่าตะวันอารมณ์ดีแล้ว ก็ชวนจันทร์เจ้าและ
ตะวันทวนข้อตกลงในการออกมาเที่ยวนอกบ้านอีกครั้ง
และให้ตะวันเล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในร้านขายของที่ระลึกว่า
เกิดขึ้นได้อย่างไร ตะวันเล่าเหตุการณ์ตามความเป็นจริง
พี่เมย์ถามตะวันว่า “ถ้าตะวันไม่ปีนชั้นวางของ
จะใช้วิธีใดเพื่อจะให้ได้ของบนชั้นสูงๆ”
ตะวันตอบว่า “ไปขอให้ผู้ใหญ่ช่วยหยิบให้
หรือไปบอกเจ้าของร้านก็ได้ค่ะ”
ตะวันสำนึกผิดที่ทำอะไรโดยไม่ได้ยั้งคิดถึงผลที่ตามมา
ต่อมา เรามากินข้าวเที่ยงกันที่ร้านอาหารเล็กๆแห่งหนึ่ง
อากาศวันนี้ค่อนข้างร้อน จันทร์เจ้าสั่งไอศกรีม
1 ถ้วย พี่ตะวันก็จะสั่งไอศกรีม 1 ถ้วยบ้าง
แต่โควต้ากินไอศกรีมในอาทิตย์นี้ของพี่ตะวันหมดแล้วนี่นา
พี่ตะวันกอดอกหายใจฟึดฟัดและพยายามต่อรอง
แต่พี่เมย์ก็ยืนยันคำเดิม พี่ตะวันปัดกล่องทิชชู่และสิ่งของบนโต๊ะ
“โอ้ย!” มือพี่ตะวันพลาดมาตีโดนจันทร์เจ้าด้วย
“โอย ทำยังไงดีนะ” จันทร์เจ้าพยายามคิดแก้ปัญหา
เพื่อไม่ให้พี่ตะวันอาละวาด
พี่เมย์ส่งสายตาให้จันทร์เจ้าขยับออกห่างจากพี่ตะวัน
พี่เมย์สลับเข้าไปแทน
พี่เมย์ไม่แสดงท่าทางโอ๋หรือหงุดหงิดไปตามพฤติกรรมของตะวัน
แล้วถามพวกเราด้วยเสียงเรียบๆ แต่จริงจังว่า “หลังจากกินข้าวเสร็จ
เราอยากจะไปขี่จักรยานที่สวนสาธารณะกันอยู่ไหม”
“จะไป!” ตะวันรีบตอบ
“ตะวันอยากไปค่ะ”
ตะวันตอบด้วยเสียงอ่อนลง
“แล้วจำข้อตกลงของเราได้ไหมว่าต้องปฏิบัติตัวอย่างไร
ตะวันทำตามที่เราตกลงกันหรือเปล่าคะ” พี่เมย์ถามตะวัน
ครู่หนึ่งพี่ตะวันจึงค่อยๆ หยุดฟึดฟัดลง “ตะวันก็อยาก
ปั่นจักรยานค่ะ ขอโทษค่ะพี่เมย์”
พี่เมย์ชวนพี่ตะวันหาวิธีจัดการกับอารมณ์โกรธหรือไม่พอใจ
ด้วยวิธีง่ายๆ เช่น นับเลขในใจ ฟังเพลงที่ชอบ
ร้องเพลงสนุกๆ แทน
เพราะตะวันก็คงไม่อยากเผลอตีโดนน้องอีก
ตะวันสบตาจันทร์เจ้าและพยักหน้าเหมือนจะสื่อว่า
“ขอโทษนะจันทร์เจ้า”
ตอนเย็นเราไปเดินเล่นที่สวนสาธารณะ
พี่เมย์ปูเสื่อใต้ร่มไม้ อากาศดีและ
มีหินกรวดสวยๆ ตรงริมบึงเยอะแยะเลย
เมย์ พี่ตะวันกับจันทร์เจ้า
เช่าจักรยานในสวน
มาปั่นกันคนละคัน
แก่กๆๆ
เสียงอะไรน่ะ อ้ะ จักรยานของพี่ตะวันโซ่หลุด
พี่ตะวันกวักมือผล็อยๆ เรียกให้จันทร์เจ้าและพี่เมย์เข้าไปหา
พี่ตะวันบุ้ยปากไปทางโซ่ ยืนครุ่นคิดว่าจะทำอย่างไรดี
“ตรงนี้ก็ไกลจากร้านเช่าจักรยาน
พอสมควรนะ” พี่เมย์แสดงความเห็น
“เดี๋ยวพี่เมย์จะจูงจักรยานกลับไปที่
ร้านเพื่อเปลี่ยนคันใหม่ให้นะ
ตะวันกับจันทร์เจ้าขี่จักรยานเล่น
แถวนี้ก่อน” พี่เมย์เสนอวิธีแก้ปัญหา
“หนูจะลองใส่โซ่เองดู เคยเป็นลูกมือช่วยคุณพ่อ
ซ่อมจักรยานที่บ้านค่ะ” พี่ตะวันพูดอย่างจริงจัง
ไม่นานนักจักรยานก็กลับมาปั่นได้อีกครั้ง
“ตะวันเก่งมากเลย” พี่เมย์ชื่นชมตะวัน โดยมี
จันทร์เจ้ากระโดดปรบมือให้พี่จันทร์เจ้าอยู่ข้างๆ
ตะวันยิ้มกว้างอย่างภาคภูมิใจ
พี่ตะวันสนใจและมักเพลิดเพลิน
กับการซ่อมของแบบนี้เสมอ
เมื่อของเล่นของจันทร์เจ้าพัง
พี่ตะวันก็พยายามซ่อมให้ทุกครั้ง
จันทร์เจ้าคิดว่าพี่สาวของเราเก่งจัง
พี่ตะวันมักมีวิธีในการแก้ป้ญหาที่
บางครั้งจันทร์เจ้าคิดไม่ถึง
พวกเรากลับถึงบ้าน
ก่อนพ่อแม่ถึงบ้านไม่นาน
วันนี้เป็นวันที่วุ่นวาย
แต่จันทร์เจ้าก็รู้สึกสนุกมาก
ก่อนนอน แม่เข้ามาหาจันทร์เจ้า
และชวนคุยเรื่องนั้นเรื่องนี้
จันทร์เจ้าเล่าเรื่องสนุกๆ
ที่โรงเรียน และปรึกษาเรื่องเพื่อนๆ
แม่ยังบอกว่าพี่เมย์เล่าเหตุการณ์
ในวันนี้ให้พ่อกับแม่ฟังแล้ว
คุณแม่อธิบายให้ฟังว่า “ภาวะสมาธิสั้นทำให้พี่ตะวันควบคุมตัวเองยาก
อยู่นิ่งๆ ไม่ค่อยได้ เหมือนรถแข่งที่เร็วมากๆ แต่เบรคไม่ค่อยดี เห็นป้ายเตือน
ให้หยุด ก็ยากที่จะชะลอให้ช้าลงได้ทัน”
พี่เมย์ถามตะวันว่า “ถ้าตะวันไม่ปีนชั้นวางของ
จะใช้วิธีใดเพื่อจะให้ได้ของบนชั้นสูงๆ”
ตะวันตอบว่า “ไปขอให้ผู้ใหญ่ช่วยหยิบให้
หรือไปบอกเจ้าของร้านก็ได้ค่ะ”
ตะวันสำนึกผิดที่ทำอะไรโดยไม่ได้ยั้งคิดถึงผลที่ตามมา
จันทร์เจ้านอนหลับตานึกถึงภาพที่พี่ตะวันกับจันทร์เจ้า
เล่นด้วยกัน หัวเราะด้วยกัน ทะเลาะกันบ้าง สนใจกัน
คนละเรื่องบ้าง แต่ก็ยังห่วงใย และคอยช่วยเหลือกันเสมอ
วันหนึ่งบนโต๊ะอาหารในเวลาหลังเลิกเรียน
คุณพ่อ คุณแม่ พี่ตะวัน และ จันทร์เจ้ากำลังกินอาหารร่วมกันอยู่
“พรุ่งนี้พ่อกับแม่ต้องไปร่วมงานทำบุญขึ้นบ้านใหม่
ที่ต่างจังหวัดทั้งวัน
ตะวันกับจันทร์เจ้าอยู่กับพี่เมย์นะลูก” คุณพ่อบอก
“พี่เมย์ลูกของคุณป้าปลาย ตอนนี้กำลังเรียนครู
อยู่ที่มหาวิทยาลัยน่ะ” แม่พูดเสริมว่า
“พี่เมย์ใจดี แต่ตะวันกับจันทร์เจ้า
ต้องเชื่อฟังพี่เมย์นะ”
“ได้ค่ะ” ตะวันกับจันทร์เจ้าขานรับพร้อมกัน
เมื่อกินอาหารเสร็จ คุณพ่อช่วยล้างจาน คุณแม่พาพี่ตะวัน
ไปทำการบ้าน ในขณะที่จันทร์เจ้าแยกไปทำการบ้านคนเดียว
ส่วนคุณแม่มานั่งกำกับให้พี่ตะวันทำการบ้านให้เสร็จ
เพราะพี่ตะวันมักจะลืมทำการบ้าน ลืมวิธีการทำที่ครูเคยสอน
หรือถ้าทำการบ้านเสร็จ แต่ก็เขียนหนังสือไม่เรียบร้อย
ทำการบ้านคณิตศาสตร์ก็ผิดๆ ถูกๆ เพราะรีบทำ
ไม่ยอมตรวจทาน
พ่อจัดมุมหนึ่งของห้องสำหรับให้พี่ตะวันนั่ง
ทำการบ้าน จะต้องเงียบ แม้ว่าจันทร์เจ้าจะ
ทำงานของตนเสร็จแล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถ
เปิดทีวีดูการ์ตูนได้ เพื่อไม่ให้รบกวนพี่ตะวัน
เพราะพี่ตะวันต้องการสมาธิและต้องไม่ให้มีสิ่ง
ใดมารบกวนสมาธิพี่ตะวันให้มากที่สุด
พอจันทร์เจ้าจะขออนุญาต
พ่อกับแม่ออกไปเล่นกับ
เพื่อนข้างบ้านในระหว่าง
รอพี่ตะวันทำงาน
พี่ตะวันก็ไม่ยอม
โวยวายว่าทำไมไม่รอไปเล่น
พร้อมกันและพาลจะหยุด
ทำการบ้าน
จนแม่ต้องบอก
ให้จันทร์เจ้ารอพี่ตะวันก่อน
จันทร์เจ้ารู้สึกว่าไม่ยุติธรรมเลย
แต่ก็เก็บความรู้สึกไว้ในใจ
เช้าวันรุ่งขึ้น ตะวันและจันทร์เจ้าตื่นขึ้นมา
ด้วยกลิ่นหอมของอาหาร
สองพี่น้องรีบอาบน้ำแต่งตัว
เพื่อจะลงไปชั้นล่าง
เมื่อเดินลงมาชั้นล่างก็พบคนที่
คุณพ่อคุณแม่พูดถึงเมื่อวาน
คือพี่เมย์นั่นเอง
พี่เมย์กำลังทำอาหารอยู่ ใช้เวลาไม่นานก็เสร็จ
เป็นอาหารที่พี่ตะวันกับจันทร์เจ้าชอบทั้งนั้นเลย
พี่ตะวันกระโดดโลดเต้น
จันทร์เจ้ายิ้มกว้าง
ทุกคนกินอาหารมื้อเช้ากัน เมื่อจันทร์เจ้าชมว่าอร่อย
พี่เมย์ก็บอกว่าวันหลังจะสอนทำอาหารให้ด้วย
พี่เมย์ใจดีอย่างที่คุณพ่อคุณแม่บอกเลย
ทุกวันหลังมื้ออาหารเช้า พี่ตะวันจะกินยา
จันทรเจ้าเคยได้ยินคุณหมอบอกว่า
จะช่วยให้พี่ตะวันสามารถควบคุมตัวเองได้ดีขึ้น
มีสมาธิยาวนานขึ้น เพราะยาจะไปกระตุ้นให้
สมองหลั่งสารเคมีธรรมชาติออกมามากขึ้น
ในระดับที่เด็กปกติควรจะมี
แต่พี่ตะวันไม่ชอบกินยานัก
“ไม่อยากกินยาเลย!” พี่ตะวันทำหน้านิ่ว
“ฮึ้บ!” จันทร์เจ้าส่งเสียงช่วยจนพี่ตะวันกินยาเสร็จ
จันทร์เจ้ารู้เสมอว่าพี่ตะวันก็พยายาม
จันทร์เจ้าคิดว่าพี่ตะวันก็คงอยากดีขึ้นเหมือนกัน
เมื่อกินยาเสร็จ พี่เมย์บอกว่าวันนี้เราจะไป
พิพิธภัณฑ์และไปสวนสาธารณะ
โดยมีข้อแม้ว่าจันทร์เจ้าและตะวันต้องเชื่อฟังพี่เมย์
เพราะการออกไปนอกบ้านมีผู้คนมากมายและ
เป็นสถานที่ที่เราไม่คุ้ยเคย ต้องอยู่ใกล้พี่เมย์ไว้
และช่วยดูแลกันและกัน
ก่อนก้าวเท้าออกจากบ้าน เราไม่ลืมที่จะทบทวน
ของที่ต้องนำติดตัว และห้ามลืมนำกลับมา
ซึ่งคุณแม่เขียนแปะไว้ให้เราที่หน้าประตูแล้ว
“กระติกน้ำ” พี่ตะวันถาม
จันทร์เจ้าขานรับ“พร้อม!”
“ยา” จันทร์เจ้าถาม
พี่ตะวันก็ขานรับ“พร้อม!”
เราผลัดกันช่วยเช็ค
ของตามรายการของคุณแม่
จนครบ
สถานที่แรก พี่เมย์พาเราไปที่พิพิธภัณฑ์
ที่นี่มีของให้ดูเยอะแยะเลย
มีรูปปั้นฟาโรห์ที่พี่ตะวันสนใจ
มีรูปปั้นมนุษย์ยุคหินด้วยนะ!
สองพี่น้องเดินไปรอบ ๆ อย่างตื่นเต้น
พวกเราแวะร้านขายของฝาก
ขณะที่เราซื้อของกันอยู่
พี่ตะวันพยายามจะหยิบของเล่นที่อยู่ข้างบน
ฮึ่บบ พี่ตะวันหยิบไม่ถึงสักที
จึงปีนชั้นวางของ
เพื่อจะไปหยิบของที่ตนเองต้องการ
โครม! เสียงของเล่นหล่นกระจาย
คนในร้านหันมามองที่ตะวันและจันทร์เจ้า
จันทร์เจ้าตกใจ และรู้สึกอาย
พี่ตะวันก็ตกใจเช่นกัน
เพราะไม่คิดว่าตนเอง
จะทำให้ของตกลงมาเกลื่อนเช่นนี้
“ทำยังไงดีนะ” จันทร์เจ้านึก
ทุกครั้งที่อยู่ในสถานการณ์เช่นนี้
จันทร์เจ้ารู้สึกหนักใจและคิดว่าตน
ต้องมีส่วนรับผิดชอบการกระทำของพี่สาว
จันทร์เจ้ารีบก้มลงเก็บของที่หล่นบนพื้นอย่างร้อน
ใจเพราะเกรงว่าจะมีใครมาว่าพี่ตะวัน จันทร์เจ้า
น้ำตาคลอเพราะทั้งโกรธพี่สาวและทั้งรู้สึกอาย
พอพี่ตะวันเห็นจันทร์เจ้าเก็บของที่ตนเองทำตก
ก็รีบช่วยจันทร์เจ้าเก็บของให้เข้าที่ พลางบ่นว่า
“ทำไมร้านจึงวางของสูงจัง ใครจะหยิบถึง”
“โทษคนอื่นอีกแหนะ” จันทร์เจ้าคิด
พี่เมย์เดินเข้ามาช่วย
สองพี่น้องเก็บของ
และสอนให้ตะวันพูด
ขอโทษเจ้าของร้าน
“ขอโทษที่หนูทำของตกค่ะ” พี่ตะวันบอกกับ
เจ้าของร้าน เจ้าของร้านยิ้มรับอย่างใจเย็น
“ไม่เป็นไรครับ”
เจ้าของร้านสังเกตเห็นเข็มกลัดฟาโรห์ของ
พี่ตะวัน จึงชวนพี่ตะวันคุยเกี่ยวกับเรื่องนั้น
อย่างถูกคอและพบว่าพี่ตะวันอธิบายได้เก่งมาก
พี่ตะวันผ่อนคลายขึ้นแล้ว
เมื่อพี่เมย์สังเกตเห็นว่าตะวันอารมณ์ดีแล้ว ก็ชวนจันทร์เจ้าและ
ตะวันทวนข้อตกลงในการออกมาเที่ยวนอกบ้านอีกครั้ง
และให้ตะวันเล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในร้านขายของที่ระลึกว่า
เกิดขึ้นได้อย่างไร ตะวันเล่าเหตุการณ์ตามความเป็นจริง
พี่เมย์ถามตะวันว่า “ถ้าตะวันไม่ปีนชั้นวางของ
จะใช้วิธีใดเพื่อจะให้ได้ของบนชั้นสูงๆ”
ตะวันตอบว่า “ไปขอให้ผู้ใหญ่ช่วยหยิบให้
หรือไปบอกเจ้าของร้านก็ได้ค่ะ”
ตะวันสำนึกผิดที่ทำอะไรโดยไม่ได้ยั้งคิดถึงผลที่ตามมา
ต่อมา เรามากินข้าวเที่ยงกันที่ร้านอาหารเล็กๆแห่งหนึ่ง
อากาศวันนี้ค่อนข้างร้อน จันทร์เจ้าสั่งไอศกรีม
1 ถ้วย พี่ตะวันก็จะสั่งไอศกรีม 1 ถ้วยบ้าง
แต่โควต้ากินไอศกรีมในอาทิตย์นี้ของพี่ตะวันหมดแล้วนี่นา
พี่ตะวันกอดอกหายใจฟึดฟัดและพยายามต่อรอง
แต่พี่เมย์ก็ยืนยันคำเดิม พี่ตะวันปัดกล่องทิชชู่และสิ่งของบนโต๊ะ
“โอ้ย!” มือพี่ตะวันพลาดมาตีโดนจันทร์เจ้าด้วย
“โอย ทำยังไงดีนะ” จันทร์เจ้าพยายามคิดแก้ปัญหา
เพื่อไม่ให้พี่ตะวันอาละวาด
พี่เมย์ส่งสายตาให้จันทร์เจ้าขยับออกห่างจากพี่ตะวัน
พี่เมย์สลับเข้าไปแทน
พี่เมย์ไม่แสดงท่าทางโอ๋หรือหงุดหงิดไปตามพฤติกรรมของตะวัน
แล้วถามพวกเราด้วยเสียงเรียบๆ แต่จริงจังว่า “หลังจากกินข้าวเสร็จ
เราอยากจะไปขี่จักรยานที่สวนสาธารณะกันอยู่ไหม”
“จะไป!” ตะวันรีบตอบ
“ตะวันอยากไปค่ะ”
ตะวันตอบด้วยเสียงอ่อนลง
“แล้วจำข้อตกลงของเราได้ไหมว่าต้องปฏิบัติตัวอย่างไร
ตะวันทำตามที่เราตกลงกันหรือเปล่าคะ” พี่เมย์ถามตะวัน
ครู่หนึ่งพี่ตะวันจึงค่อยๆ หยุดฟึดฟัดลง “ตะวันก็อยาก
ปั่นจักรยานค่ะ ขอโทษค่ะพี่เมย์”
พี่เมย์ชวนพี่ตะวันหาวิธีจัดการกับอารมณ์โกรธหรือไม่พอใจ
ด้วยวิธีง่ายๆ เช่น นับเลขในใจ ฟังเพลงที่ชอบ
ร้องเพลงสนุกๆ แทน
เพราะตะวันก็คงไม่อยากเผลอตีโดนน้องอีก
ตะวันสบตาจันทร์เจ้าและพยักหน้าเหมือนจะสื่อว่า
“ขอโทษนะจันทร์เจ้า”
ตอนเย็นเราไปเดินเล่นที่สวนสาธารณะ
พี่เมย์ปูเสื่อใต้ร่มไม้ อากาศดีและ
มีหินกรวดสวยๆ ตรงริมบึงเยอะแยะเลย
เมย์ พี่ตะวันกับจันทร์เจ้า
เช่าจักรยานในสวน
มาปั่นกันคนละคัน
แก่กๆๆ
เสียงอะไรน่ะ อ้ะ จักรยานของพี่ตะวันโซ่หลุด
พี่ตะวันกวักมือผล็อยๆ เรียกให้จันทร์เจ้าและพี่เมย์เข้าไปหา
พี่ตะวันบุ้ยปากไปทางโซ่ ยืนครุ่นคิดว่าจะทำอย่างไรดี
“ตรงนี้ก็ไกลจากร้านเช่าจักรยาน
พอสมควรนะ” พี่เมย์แสดงความเห็น
“เดี๋ยวพี่เมย์จะจูงจักรยานกลับไปที่
ร้านเพื่อเปลี่ยนคันใหม่ให้นะ
ตะวันกับจันทร์เจ้าขี่จักรยานเล่น
แถวนี้ก่อน” พี่เมย์เสนอวิธีแก้ปัญหา
“หนูจะลองใส่โซ่เองดู เคยเป็นลูกมือช่วยคุณพ่อ
ซ่อมจักรยานที่บ้านค่ะ” พี่ตะวันพูดอย่างจริงจัง
ไม่นานนักจักรยานก็กลับมาปั่นได้อีกครั้ง
“ตะวันเก่งมากเลย” พี่เมย์ชื่นชมตะวัน โดยมี
จันทร์เจ้ากระโดดปรบมือให้พี่จันทร์เจ้าอยู่ข้างๆ
ตะวันยิ้มกว้างอย่างภาคภูมิใจ
พี่ตะวันสนใจและมักเพลิดเพลิน
กับการซ่อมของแบบนี้เสมอ
เมื่อของเล่นของจันทร์เจ้าพัง
พี่ตะวันก็พยายามซ่อมให้ทุกครั้ง
จันทร์เจ้าคิดว่าพี่สาวของเราเก่งจัง
พี่ตะวันมักมีวิธีในการแก้ป้ญหาที่
บางครั้งจันทร์เจ้าคิดไม่ถึง
พวกเรากลับถึงบ้าน
ก่อนพ่อแม่ถึงบ้านไม่นาน
วันนี้เป็นวันที่วุ่นวาย
แต่จันทร์เจ้าก็รู้สึกสนุกมาก
ก่อนนอน แม่เข้ามาหาจันทร์เจ้า
และชวนคุยเรื่องนั้นเรื่องนี้
จันทร์เจ้าเล่าเรื่องสนุกๆ
ที่โรงเรียน และปรึกษาเรื่องเพื่อนๆ
แม่ยังบอกว่าพี่เมย์เล่าเหตุการณ์
ในวันนี้ให้พ่อกับแม่ฟังแล้ว
คุณแม่อธิบายให้ฟังว่า “ภาวะสมาธิสั้นทำให้พี่ตะวันควบคุมตัวเองยาก
อยู่นิ่งๆ ไม่ค่อยได้ เหมือนรถแข่งที่เร็วมากๆ แต่เบรคไม่ค่อยดี เห็นป้ายเตือน
ให้หยุด ก็ยากที่จะชะลอให้ช้าลงได้ทัน”
พี่เมย์ถามตะวันว่า “ถ้าตะวันไม่ปีนชั้นวางของ
จะใช้วิธีใดเพื่อจะให้ได้ของบนชั้นสูงๆ”
ตะวันตอบว่า “ไปขอให้ผู้ใหญ่ช่วยหยิบให้
หรือไปบอกเจ้าของร้านก็ได้ค่ะ”
ตะวันสำนึกผิดที่ทำอะไรโดยไม่ได้ยั้งคิดถึงผลที่ตามมา
จันทร์เจ้านอนหลับตานึกถึงภาพที่พี่ตะวันกับจันทร์เจ้า
เล่นด้วยกัน หัวเราะด้วยกัน ทะเลาะกันบ้าง สนใจกัน
คนละเรื่องบ้าง แต่ก็ยังห่วงใย และคอยช่วยเหลือกันเสมอ